xs
xsm
sm
md
lg

"Kasset-SCBAM"พร้อมเปิดศึก เก้าอี้เอ็มดีลงตัว...ติดเครื่องลุยเต็มที่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ธุรกิจกองทุนรวมในบ้านเรา ถือว่าเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงจริงๆ โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญ นั่นคือ เก้าอี้กรรมการผู้จัดการ ซึ่งถือเป็นหัวเรือใหญ่ที่จะนำพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จและได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและนักลงทุน

...ที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ 2 บลจ.เครือแบงก์พาณิชย์ขาดใหญ่ อย่างค่ายสีเขียว "กสิกรไทย" และค่ายสีม่วง "ไทยพาณิชย์"...เพราะที่ผ่านมา ถือว่าความลงตัวในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการนั้น ยังไม่เข้าที่เท่าไหร่

เริ่มต้นกันที่ บลจ.กสิกรไทย...ตั้งแต่ "วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ" ย้ายจากเก้าอี้รองประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย ไปทำงานกับแบงก์แม่อย่างเต็มตัว (ล่าสุด แสดงสปิริตลาออกไป เพราะมีชื่อเกี่ยวข้องการการฟ้องร้องในคดีหนึ่ง) เก้าอี้ผู้บริหารของ บลจ.กสิกรไทยก็ว่างเว้นไปนานพอสมควร ก่อนที่จะได้ มือดีจากบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด บริษัทในเครือแบงก์เดียวกันอย่าง "รพี สุจริตกุล" เข้ามารับหน้าเสื่อ เป็นประธานกรรมการบริหาร และขับเคลื่อนบลจ.กสิกรไทยในปัจจุบัน

ส่วนบลจ.ไทยพาณิชย์...หลังจาก "อดิศร เสริมชัยวงศ์" ถูกแบงก์แม่ ดึงไปก่อน (ในตำแหน่งเดียวกับ "วิวรรณ") ตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ ก็ว่างเว้นไป กว่าจะได้ "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ เข้ามาทำหน้าที่ต่อ ก็นานพอสมควร ซึ่งช่วงของรอยต่อนั้นเอง เป็นช่วงที่สินทรัพย์ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ไม่ได้ขยับทิ้งคู่แข่งอย่าง บลจ.กสิกรไทย มากนัก...เพราะต้องยอมรับว่า "เศรษฐพุฒิ" เอง มาจากฝ่ายวิจัย ความถนัดในด้านเรื่องธุรกิจจัดการกองทุน อาจจะมีน้อยกว่า แต่ในที่สุด บลจ.ไทยพาณิชย์ ก็ได้มือดีของวงการอย่าง "โชติกา สวนานนท์" อดีดกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย เข้ามารับหน้าที่ นำพาบลจ.ไทยพาณิชย์ ร่วมวงแข่งขันในธุรกิจนี้ต่อไป

ดังนั้น การที่ทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจจัดการกองทุน และเป็นผู้นำในตลาดอยู่ในขณะนี้ มีหัวเรือใหญ่เข้ามาบัญชาการแล้ว น่าจะทำให้สีสันและบรรยากาศการแข่งขันของธุรกิจกองทุนรวมหลังจากนี้ ดุเด็ดเผ็ดมันมากขึ้น...งานนี้ บลจ.อื่นๆ ที่กำลังลุ้นว่า จะตามติดได้ในไม่ช้า คงต้องกลับมาปาดเหงื่อกันอีกรอบ...ส่วน 2 ค่ายใหญ่เขามีเป้าหมายอย่างไรนั้น "ASTVผู้จัดการกองทุนรวม" ขอรีวิวให้เห็นภาพกันอีกสักครั้ง
รพี สุจริตกุล
พร้อมใจตั้งเป้าโต20%
รพี สุจริตกุล
กล่าวในวันแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า ในปีนี้เราตั้งเป้าการขยายตัวของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) ไว้ที่ประมาณ 20% ซึ่งน่าจะเป็นการโตสวนกระแสของทั้งอุตสาหกรรมเหมือนในปีที่ผ่านมา โดยใช้ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการดำเนินงาน

“ที่ผ่านมาเรามีเอยูเอ็มตามหลังอันดับ 1 ไม่มากนักและการทำงานในปีนี้แน่นอนว่าเราอยากจะทวงแชมป์”รพีกล่าว

สำหรับ การรักษาผลงานการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้แอคทีฟมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น ที่จะคัดเลือกหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูง ผลประกอบการดี เป็นหลัก ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้จะดูเรื่องผลตอบแทนละความเสี่ยง ซึ่งเชื่อว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง การลงทุนในพันธบัตรระยะยาวคงจะมีความน่าสนใจมากขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นเองจะมีการปรับตัวลดลงตามอัตราดอกเบี้ย

ขณะที่ การรักษาการเป็นผู้นำในทุกสายงานนั้น บริษัทจะเน้นออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามาขึ้น โดยอาจมีการรีมิกซ์กองทุนเพิ่มมากขึ้น สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร เช่นเดียวกอง K-TREASURY และ K-Money ในปีที่ผ่านมา

"โชติกา สวนานนท์" ประกาศในวันแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการเช่นกันว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในการเพิ่มสินทรัพย์ในปีนี้เป็น 3.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวของสินทรัพย์รวมประมาณ 20% ซึ่งเทียบเท่ากับเป้าหมายอัตราการเติบโตของธุรกิจกองทุนโดยรวม

และถึงแม้ว่าสถานการณ์ในด้านธุรกิจกองทุนรวมมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ดี และความเสียงต่ำจะหายากขึ้น ขณะที่อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจจะเป็นคู่แข่งในตลาดคือการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ให้ผลตอบแทนสูงเพื่อจูงใจนักลงทุนซึ่งอาจตัดสินใจลงทุนโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ มักจะทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามายังธุรกิจกองทุนรวมมากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง นักลงทุนจึงโยกย้ายเงินลงทุนเข้ามา เพื่อต้องการให้เม็ดเงินงอกเงย

"เราต้องการรักษาความเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจกองทุนรวมต่อไป แต่จะเน้นการวางรากฐานที่ดีในระยะยาวมากกว่า เพื่อให้สามารถเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยการสร้างฐานที่แข็งแกร่ง ได้แก่บุคลากรสำคัญที่สุดในองค์กร ขณะที่ลูกค้าเองบริษัทให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว"

สำหรับนโยบายในปีนี้จะสานต่อนโยบายเดิม พร้อมเพิ่มศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทในระยะยาว โดยจะให้ความสำคัญกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้ขายหน่วยลงทุนและพนักงาน เพื่อมอบผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ลงทุน

เปิดกลยุทธ์...ที่ไม่มีใครด้อยกว่าใคร
...สำหรับการบริหารงานของ บลจ.กสิกรไทย ในปี 2552 "รพี" กล่าวว่า สิ่งที่จะเน้นหนักจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ด้านประกอบด้วย การรักษาฐานลูกค้าเดิม การประสานงานกับแบงก์แม่ (ธนาคารกสิกรไทย) และการรักษาผลการดำเนินงานให้ดีอยู่เสมอ

ในส่วนของผลการดำเนินงานเชื่อว่าทุกบลจ.ต้องพยายมแข่งขันให้ดีอยู่แล้ว เพราะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของตนเอง แต่ความพยายามของค่ายสีเขียวคือ หลังจากนี้คือการสื่อสารภายในเครือธนาคารกสิกรไทยเพื่อให้สามารถออกผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการของนักลงทุนมากที่สุด

เขา บอกว่า การที่จะออกผลิตภัณฑ์ที่สนองความต้องการของนักลงทุนจะต้องย้อนไปดูในเรื่องของการสื่อสารในองค์กร ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญ ภายหลังจากรับตำแหน่งนี้ เนื่องจากตัวแทนขายของบริษัทมีอยู่หลายสาขา โดยที่ผู้ผลิตจะต้องทำให้ผู้ขายเข้าใจตัวสินค้าก่อนที่จะนำไปเสนอขายแก่นักลง ทุนได้ตรงตามความต้องการมากขึ้น

"กุญแจสำคัญคือการสื่อสาร เมื่อใดไม่เข้าใจกันมันจะยุ่งทันที โดยจะทำอย่างไรให้มีความเข้าใจตรงกัน และต้องสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจด้วย และนี่ เป็นความท้าทาย ไม่ใช่แค่การผลิตสินค้า ต้องเป็นสินค้าที่เข้าใจตรงกันว่าคุณสมบัติของสินค้ามีอะไรบ้าง และตรงกับความต้องการหรือไม่ และเมื่อรู้ว่าลูกค้า ต้องการอะไรคนขายเองก็จะบอกได้ว่าลูกค้าชอบอะไร ผู้ผลิตก็ออกสินค้าได้ตรงมากขึ้น"
โชติกา สวนานนท์
...สำหรับ บลจ.ไทยพาณิชย์ "โชติกา" กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานมากว่า 13 ปี ในธุรกิจกองทุน ทำให้เล็งเห็นว่า ปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้องค์กรก้าวสู่ความสำเร็จ คือบุคคลากรที่นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถแล้ว ยังต้องทำงานในลักษณะทีมเวิร์กภายใต้วัฒนธรรมองค์กรเดียวกัน และที่สำคัญคือจะต้องมีหัวใจของการบริการ

นอกจากนี้ หัวใจที่สำคัญของธุรกิจกองทุนรวม คือความเชื่อมั่น และความไว้วางใจจากนักลงทุนนั่นเอง

ดังนั้น ในการเข้ามาบริหารงานที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้วางนโยบายการดำเนินงานในเชิงรุก โดยจะให้ความสำคัญกับการแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็น กลุ่มลูกค้ารายย่อย ลูกค้าสถาบัน และลูกค้าที่มีเงินลงทุนสูง (High Networth)

โดยมีแผนเพื่อรองรับกับการเติบโตอย่างมั่นคง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านแรกคือการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ถือหน่วยอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นกองทุนประเภทความเสี่ยงต่ำ แต่ยังสามารถให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสินทรัพย์จากกลุ่มลูกค้านิติบุคคล SMEs และลูกค้าที่มีเงินลงทุนสูง ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท

ด้านที่สอง คือการเพิ่มศักยภาพทีมงานให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะความสามารถในการให้คำปรึกษาด้านการจัดการลงทุน (Investment Management) เพื่อให้คำแนะนำในด้านการจัดสรรเงินลงทุน ส่วนลูกค้ารายย่อยจะมีทีงานออกไปให้คำแนะนำด้านการลงทุนผ่านพนักงานสาขาของธนาคาร

สำหรับการดำเนินงานในด้านที่สามคือการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ เพิ่มจากการขายผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนขายหรือ Selling Agent ลูกค้ากลุ่ม Private Wealth ลูกค้านิติบุคคล และลูกค้าสถาบัน รวมไปถึงการพัฒนาช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Channel) พร้อมพัฒนาบริการต่างๆ ในช่องทางดังกล่าว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น และยังเป็นการขยายฐานลูกค้าด้วย โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มลูกค้าขึ้นไป 20% เป็น 4.2 แสนราย

ในส่วนของแผนงานด้านที่สี่ คือการสร้างองค์กรให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยจะพัฒนากระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ และเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกเหนือจากการบริหารจัดการที่ดีแล้ว ยังต้องมีวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการทำงานเป็นทีม มีความรับผิดชอบ ซื้อสัตย์ และมีคุณธรรม

เครือแบงก์ใหญ่...ความได้เปรียบของทั้ง2ค่าย
"รพี" มองว่า การสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรต่อจากนี้จะเป็นการเน้นย้ำถึงการเป็นบริษัทในเครือกสิกรไทย เพราะเชื่อว่าการที่ลูกค้าซื้อสินค้าของบริษัท เนื่องจากเชื่อในการที่เราอยู่ในกลุ่มธนาคารกสิกรเป็นหลัก และเชื่อในสถาบันแห่งนี้ เชื่อในตัวแทนขาย เชื่อในสินค้าว่าเป็นของดีที่ไว้วางใจ จึงได้นำเงินออกจากเงินฝากมาลงทุนด้วย

"ลูกค้าไม่ต้องการได้ความแตกต่างในแบรนด์ และจะไม่การมานั่งแยกกัน แต่ลูกค้าต้องการซื้อของที่อยู่ในเครือธนาคารกสิกรไทย เพราะฉนั้นในแง่ความจำเป็นที่จะต้องแยกแบรนด์ออกมาไม่มี กลับกันต้องบอกว่าเราอยู่ภายใต้เครือธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากกว่า"

ถึงแม้จะไม่ต้องสร้างแบรนด์เหมือนบลจ.อื่น แต่เขาบอกว่า ยังมีภารกิจในส่วนนี้อยู่ โดยในปีนี้ความพยายมเพิ่มงบประมาณการตลาดผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ และวิทยุจะยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แต่จะเป็นการสร้างความรับรู้ในเรื่องของสินค้าเป็นหลัก เพื่อให้นักลงทุนรับรู้ว่า สินค้าของบริษัทมีอะไรบ้าง รูปแบบอย่างไร

"โชติกา" ในช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นาน ต้องบอกว่าธนาคารไทยพาณิชย์ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งด้านการขายผ่านสาขาเกือบ 1 พันสาขาทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการขายผ่านสาขาของธนาคารถึง 99% และกว่า 90% ก็เป็นลูกค้าแบงก์ด้วย รวมทั้งการสนับสนุนด้านการบริการผ่านระบบที่สมบูรณ์แบบ เช่น การทำธุรกิจออนไลน์ผ่านทาง SCB Easy Net ...

"คอนเซ็ปต์ของเราคือ "The power of One" นั่นคือ การทำธุรกิจพร้อมกันไปเป็นเครือ"

...เชื่อว่าหลายท่านคงพอจะเห็นภาพไปพอสมควร สำหรับการปรับตัวของ บลจ.ที่เป็นผู้นำตลาดของทั้ง 2 ค่าย...งานนี้ บลจ.ทหารไทย และบลจ.แมนูไลฟ์ ที่ยังขาดหัวเรือในขณะนี้ คงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ส่วนใครที่มีหัวเรือคุมอยู่แล้ว คงต้องตื่นตัว รับการแข่งขันที่ส่งสัญญาณว่า จะดุเดือดอย่างแน่นอน...
กำลังโหลดความคิดเห็น