"บลจ.ไอเอ็นจี" มองเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียฟื้นก่อน อเมริกาฯ เเละยุโรป เหตุการปริมาณบริโภคยังมีอยู่สูง พร้อมเเนะนักลงทุนเลือกวิธีลงทุนเเบบ Dollar Cost Average ช่วยลดความเสี่ยงของราคา ขณะเดียวกันมองราคาทองยังผันผวนไม่เหมาะกับการลงทุนระยะยาว
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมเเละที่ปึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้คงต้องรอดูภาพรวมของเศรษฐกิจโลกเสียก่อน เพราะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้น คงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู โดยรวมเเล้วต้องใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยเเล้วประมาณ 18 เดือน โดยวิกฤตที่ไทยได้รับผลกระทบนั้นน่าจะผ่อนคลายลงได้บ้าง ซึ่งในส่วนของตลาดทุนนั้นจะมีการเคลื่อนไหวตอบรับเศรษฐกิจก่อนไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี
ขณะเดียวกันต้องรอดูวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรป เเละเอชีย ประกอบกันอีกด้วย เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะไทยต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ในขณะที่ไทยเองก็ยังเปิดให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนอีกด้วย ซึ่งหากประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยเหล่านั้นยังไม่มีการฟื้นตัวการเข้ามาลงทุนในไทยก็คงต้องชะลอออกไป ทั้งนี้เชื่อว่าภูมิภาคเอเชียจะเป็นภูมิภาคเเรกที่ฟื้นตัวจากวิกฤติศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพราะเอเชียมีประชากรค่อนข้างสูง ทำให้การบริโภคภายในประเทศก็มากตามไปอีกด้วย
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นเชื่อว่าการลงทุนเเบบถัวเฉลี่ย หรือที่เรียกว่า Dollar Cost Average (DCA) นั้นจะเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้ความเสี่ยงของนักลงทุนลดลงได้ในระดับหนึ่ง ส่วนกลุ่มหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนในช่วงนี้คือกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค หรือหุ้นที่มีกระเเสเงินสดไหลเวียน อย่างเช่นหุ้นกลุ่มธนาคารก็กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
"ณ วันนี้เราก็ตอบไม่ได้ว่า ราคาหุ้นต่ำสุดเเล้วหรือยัง ซึ่งหลายวันที่ผ่านมาก็ปรับตัวมาบ้างเล็กน้อยเเต่เรามองว่าเป็นการปรับตัวขึ้นเพียงระยะสั้นๆ ซึ่งต้องดูปัจจัยชี้นำทางเศรษฐกิจว่าจะเป็นอย่างไร การทยอยเข้าลงทุนเเบบ Dollar Cost Average จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องต้นทุนเฉลี่ยในระยะยาว"นายจุมพล กล่าว
นายจุมพล กล่าวถึงการลงทุนในทองคำว่า ความเสี่ยงของราคาทองยังมีสูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการเก็งกำไรในระยะเวลาสั้นๆจึงไม่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ส่วนการซื้อขายทองคำในตลาดซื้อขายล่วงหน้าหรือ TFEX นั้นยังมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเเละที่สำคัญคือนักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยไม่เข้าใจวิธีการลงทุนในรูปเเบบดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้บลจ.ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ในรูปเเบบดังกล่าวให้นักลงทุนได้ลงทุน
สำหรับการเปิดขายกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล นั้นเราได้มีการจัดสัมนาให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนเเละการลงทุนรับวัยเกษียณกับธนาคาหารไทย ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางการขายหน่วยลงทุนหลักของบลจ.ไอเอ็นจี ซึ่งทั้ง 3 กองทุนได้เปิดขายหน่วยลงทุนไปเเล้วตั้งเเต่วันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมาซึ่งก็ได้รับกระเเสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยกองทุนดังกล่าวจะเปิดขายไปถึงวันที่ 26 มีนาคม 2552 นี้
ทั้งนี้กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2025 จะมีอายุโครงการ 16 ปี 8 เดือน แต่มีสภาพคล่องด้วยการเปิดให้ซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 40-45 ปี และคาดว่าอยากจะเกษียณอายุในวัยประมาณ 60 ปี คือ ในปี 2023-2028 ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังอยู่ในวัยทำงานที่แสวงหาทั้งความมั่นคงในหน้าที่การงาน และความมั่งคั่งให้กับตนเอง การแสวงหาผลตอบแทนที่ดีพร้อมกับการยอมรับความเสี่ยงจึงยังมีได้มาก ดังนั้น สัดส่วนการลงทุนจะเน้นการลงทุนในตราสารทุนในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 55% แต่ในปีใกล้สิ้นอายุของกองทุน ตราสารในพอร์ตการลงทุนจะมีการเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้นจนกลายเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งหมดในวันสิ้นอายุกองทุน เพื่อลดความเสี่ยงในตลอดช่วงอายุการลงทุน
ขณะที่กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2020 จะมีอายุโครงการ 11 ปี 8 เดือน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 45-50 ปี โดยคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณ 60 ปี ในปี 2018-2023 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสม่ำเสมอของรายได้และ รับความเสี่ยงได้น้อยลง ดังนั้น จึงให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น โดยจะลงทุนในตราสารทุนในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 45%
ส่วนกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2015 อายุโครงการ 6 ปี 8 เดือน เป็นกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีอายุ 50-55 ปี ซึ่งคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณในปี 2013-2023 ดังนั้น การจัดสรรการลงทุนจะเน้นความปลอดภัยมากกว่าผลตอบแทนที่สูง เพื่อเตรียมเงินทุนไว้รองรับการใช้จ่ายในยามเกษียณแล้ว โดยในช่วงปีแรกจะลงทุนในตราสารทุนไม่เกินกว่า 30% และจะกลายเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นในที่สุด
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมเเละที่ปึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้คงต้องรอดูภาพรวมของเศรษฐกิจโลกเสียก่อน เพราะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้น คงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู โดยรวมเเล้วต้องใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยเเล้วประมาณ 18 เดือน โดยวิกฤตที่ไทยได้รับผลกระทบนั้นน่าจะผ่อนคลายลงได้บ้าง ซึ่งในส่วนของตลาดทุนนั้นจะมีการเคลื่อนไหวตอบรับเศรษฐกิจก่อนไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี
ขณะเดียวกันต้องรอดูวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรป เเละเอชีย ประกอบกันอีกด้วย เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะไทยต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ในขณะที่ไทยเองก็ยังเปิดให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนอีกด้วย ซึ่งหากประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยเหล่านั้นยังไม่มีการฟื้นตัวการเข้ามาลงทุนในไทยก็คงต้องชะลอออกไป ทั้งนี้เชื่อว่าภูมิภาคเอเชียจะเป็นภูมิภาคเเรกที่ฟื้นตัวจากวิกฤติศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพราะเอเชียมีประชากรค่อนข้างสูง ทำให้การบริโภคภายในประเทศก็มากตามไปอีกด้วย
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นเชื่อว่าการลงทุนเเบบถัวเฉลี่ย หรือที่เรียกว่า Dollar Cost Average (DCA) นั้นจะเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้ความเสี่ยงของนักลงทุนลดลงได้ในระดับหนึ่ง ส่วนกลุ่มหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนในช่วงนี้คือกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค หรือหุ้นที่มีกระเเสเงินสดไหลเวียน อย่างเช่นหุ้นกลุ่มธนาคารก็กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
"ณ วันนี้เราก็ตอบไม่ได้ว่า ราคาหุ้นต่ำสุดเเล้วหรือยัง ซึ่งหลายวันที่ผ่านมาก็ปรับตัวมาบ้างเล็กน้อยเเต่เรามองว่าเป็นการปรับตัวขึ้นเพียงระยะสั้นๆ ซึ่งต้องดูปัจจัยชี้นำทางเศรษฐกิจว่าจะเป็นอย่างไร การทยอยเข้าลงทุนเเบบ Dollar Cost Average จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องต้นทุนเฉลี่ยในระยะยาว"นายจุมพล กล่าว
นายจุมพล กล่าวถึงการลงทุนในทองคำว่า ความเสี่ยงของราคาทองยังมีสูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการเก็งกำไรในระยะเวลาสั้นๆจึงไม่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ส่วนการซื้อขายทองคำในตลาดซื้อขายล่วงหน้าหรือ TFEX นั้นยังมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเเละที่สำคัญคือนักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยไม่เข้าใจวิธีการลงทุนในรูปเเบบดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้บลจ.ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ในรูปเเบบดังกล่าวให้นักลงทุนได้ลงทุน
สำหรับการเปิดขายกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล นั้นเราได้มีการจัดสัมนาให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนเเละการลงทุนรับวัยเกษียณกับธนาคาหารไทย ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางการขายหน่วยลงทุนหลักของบลจ.ไอเอ็นจี ซึ่งทั้ง 3 กองทุนได้เปิดขายหน่วยลงทุนไปเเล้วตั้งเเต่วันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมาซึ่งก็ได้รับกระเเสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยกองทุนดังกล่าวจะเปิดขายไปถึงวันที่ 26 มีนาคม 2552 นี้
ทั้งนี้กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2025 จะมีอายุโครงการ 16 ปี 8 เดือน แต่มีสภาพคล่องด้วยการเปิดให้ซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 40-45 ปี และคาดว่าอยากจะเกษียณอายุในวัยประมาณ 60 ปี คือ ในปี 2023-2028 ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังอยู่ในวัยทำงานที่แสวงหาทั้งความมั่นคงในหน้าที่การงาน และความมั่งคั่งให้กับตนเอง การแสวงหาผลตอบแทนที่ดีพร้อมกับการยอมรับความเสี่ยงจึงยังมีได้มาก ดังนั้น สัดส่วนการลงทุนจะเน้นการลงทุนในตราสารทุนในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 55% แต่ในปีใกล้สิ้นอายุของกองทุน ตราสารในพอร์ตการลงทุนจะมีการเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้นจนกลายเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งหมดในวันสิ้นอายุกองทุน เพื่อลดความเสี่ยงในตลอดช่วงอายุการลงทุน
ขณะที่กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2020 จะมีอายุโครงการ 11 ปี 8 เดือน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 45-50 ปี โดยคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณ 60 ปี ในปี 2018-2023 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสม่ำเสมอของรายได้และ รับความเสี่ยงได้น้อยลง ดังนั้น จึงให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น โดยจะลงทุนในตราสารทุนในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 45%
ส่วนกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2015 อายุโครงการ 6 ปี 8 เดือน เป็นกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีอายุ 50-55 ปี ซึ่งคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณในปี 2013-2023 ดังนั้น การจัดสรรการลงทุนจะเน้นความปลอดภัยมากกว่าผลตอบแทนที่สูง เพื่อเตรียมเงินทุนไว้รองรับการใช้จ่ายในยามเกษียณแล้ว โดยในช่วงปีแรกจะลงทุนในตราสารทุนไม่เกินกว่า 30% และจะกลายเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นในที่สุด
