บลจ.นครหลวงไทยเปิดขายกองทุนเปิดเอสซีไอ ฟิกซ์เทอม เอเอฟ 3M1/09 อายุโครงการ 3 เดือน กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ แต่เปิดช่องให้ลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 75%โดยเบื้องต้นจะเน้นลงทุนในตราสารที่ออกโดย The Export-Import Bank of Korea เป็นหลัก คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.75% ต่อปี เปิดไอพีโอตั้งแต่วันนี้ – 10 มี.ค.นี้ ส่วนยอดระดมทุนกองทุนเปิดเอสซีไอ ตราสารหนี้ต่างประเทศ จีไอ 6M2/09 ได้ 300 ล้านบาท
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดขายกองทุนเปิดเอสซีไอ ฟิกซ์เทอม เอเอฟ 3M1/09 (SCI FTAF3M1/09) อายุโครงการประมาณ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ในประเทศ แต่เปิดโอกาสให้สามารถเข้าไปลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 75% โดยเบื้องต้นจะนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนใน Euro Commercial Paper (ECP) ของ The Export-Import Bank of Korea (KEXIM) ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ใน 2 อันดับแรก และส่วนที่เหลือจะลงทุนในตั๋วแลกเงินที่ออกโดยบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.75% ต่อปี และเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวระหว่างวันนี้ – 10 มีนาคม 2552 และมีมูลค่าเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000 บาท
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้ล่าสุดค่อนข้างดีขึ้น โดยประเทศออสเตรเลียหยุดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว ซึ่งนักการเงินมองว่าภาวะเศรษฐกิจน่าจะไม่เลวร้ายอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ขณะที่เกาหลีใต้ยังคงได้ดุลการค้าอยู่ โดยดุลการค้าอยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านดอลาร์สหรัฐ เมื่อการส่งออกของเกาหลีใต้ดีขึ้น ธนาคาร ส่งผลให้ The Export-Import Bank of Korea ได้รับผลดีไปด้วย โดยเกาหลีใต้เองมีการพึ่งพิงการส่งออกมากกว่าประเทศไทยด้วย
ทั้งนี้ บริษัทมีความมั่นใจสูงในการลงทุนใน The Export-Import Bank of Korea ซึ่งจากการศึกษาแล้วพบว่ามีกฎหมายห้ามเงินทุนของ The Export-Import Bank of Korea ติดลบ และหากติดลบขึ้นมา รัฐบาลจะต้องเติมเงินเข้าไปทันที นักลงทุนจึงมีความมั่นใจได้ แต่จะไม่ลงทุนใน Investment Bank of Korea และ Korea Developer Bank
นายธีรพันธ์ กล่าวว่า ส่วนผลการระดมทุนของกองทุนเปิดเอสซีไอ ตราสารหนี้ต่างประเทศ จีไอ 6M2/09 (SCI INGI6M2/09) อายุโครงการประมาณ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสารที่ออกโดย The Export-Import Bank of Korea ซึ่งเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจของประเทศเกาหลีใต้โดยรัฐบาลเกาหลีใต้ถือหุ้น 100% และเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมานั้น สามารถระดมทุนได้ประมาณ 300 ล้านบาท ทั้งนี้ หากมีการประชาสัมพันธ์ผ่านธนาคารนครหลวงไทยมากขึ้นจะส่งผลให้นักลงุทนกล้าเข้ามาลงทุนมากขึ้น และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ (Credit Rating) ของเกาหลีใต้ยังสูงกว่าตราสารหนี้ของประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับ KEXIM จัดตั้งขึ้นในปี 1976 ภายใต้ Korea Exim ฺBank Act เพื่อสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาเศรษฐกิจและความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ โดยรัฐบาลจะจัดหาเงินทุนให้ธนาคารเพื่อชดเชยผลขาดทุนที่เกินกว่าเงินที่ธนาคารสำรองไว้ สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นนั้นรัฐบาลถือหุ้น 60% ธนาคารกลาง 35.3% และ Korea Development Bank ประมาณ 4.7% ดังนั้น ถ้ารวมการถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม KEXIM ถือว่าเป็นสถาบันการเงินของรัฐ การลงทุนในตราสารหนี้ของ KEXIM จึงถือว่ามีความเสี่ยงตํ่า นอกจากนี้การลงทุนในตราสารหนี้ของ KEXIM ของบลจ.นครหลวงไทยนั้นเป็นในรูปสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯไม่ใช่เงินวอน ดังนั้น หากมีการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินวอนตามที่นักลงทุนบางส่วนวิตกก็จะไม่มีผลกระทบโดยตรงกับการลงทุน ผู้ลงทุนในกองทุนจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดขายกองทุนเปิดเอสซีไอ ฟิกซ์เทอม เอเอฟ 3M1/09 (SCI FTAF3M1/09) อายุโครงการประมาณ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ในประเทศ แต่เปิดโอกาสให้สามารถเข้าไปลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 75% โดยเบื้องต้นจะนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนใน Euro Commercial Paper (ECP) ของ The Export-Import Bank of Korea (KEXIM) ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ใน 2 อันดับแรก และส่วนที่เหลือจะลงทุนในตั๋วแลกเงินที่ออกโดยบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.75% ต่อปี และเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวระหว่างวันนี้ – 10 มีนาคม 2552 และมีมูลค่าเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000 บาท
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้ล่าสุดค่อนข้างดีขึ้น โดยประเทศออสเตรเลียหยุดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว ซึ่งนักการเงินมองว่าภาวะเศรษฐกิจน่าจะไม่เลวร้ายอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ขณะที่เกาหลีใต้ยังคงได้ดุลการค้าอยู่ โดยดุลการค้าอยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านดอลาร์สหรัฐ เมื่อการส่งออกของเกาหลีใต้ดีขึ้น ธนาคาร ส่งผลให้ The Export-Import Bank of Korea ได้รับผลดีไปด้วย โดยเกาหลีใต้เองมีการพึ่งพิงการส่งออกมากกว่าประเทศไทยด้วย
ทั้งนี้ บริษัทมีความมั่นใจสูงในการลงทุนใน The Export-Import Bank of Korea ซึ่งจากการศึกษาแล้วพบว่ามีกฎหมายห้ามเงินทุนของ The Export-Import Bank of Korea ติดลบ และหากติดลบขึ้นมา รัฐบาลจะต้องเติมเงินเข้าไปทันที นักลงทุนจึงมีความมั่นใจได้ แต่จะไม่ลงทุนใน Investment Bank of Korea และ Korea Developer Bank
นายธีรพันธ์ กล่าวว่า ส่วนผลการระดมทุนของกองทุนเปิดเอสซีไอ ตราสารหนี้ต่างประเทศ จีไอ 6M2/09 (SCI INGI6M2/09) อายุโครงการประมาณ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสารที่ออกโดย The Export-Import Bank of Korea ซึ่งเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจของประเทศเกาหลีใต้โดยรัฐบาลเกาหลีใต้ถือหุ้น 100% และเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมานั้น สามารถระดมทุนได้ประมาณ 300 ล้านบาท ทั้งนี้ หากมีการประชาสัมพันธ์ผ่านธนาคารนครหลวงไทยมากขึ้นจะส่งผลให้นักลงุทนกล้าเข้ามาลงทุนมากขึ้น และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ (Credit Rating) ของเกาหลีใต้ยังสูงกว่าตราสารหนี้ของประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับ KEXIM จัดตั้งขึ้นในปี 1976 ภายใต้ Korea Exim ฺBank Act เพื่อสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาเศรษฐกิจและความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ โดยรัฐบาลจะจัดหาเงินทุนให้ธนาคารเพื่อชดเชยผลขาดทุนที่เกินกว่าเงินที่ธนาคารสำรองไว้ สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นนั้นรัฐบาลถือหุ้น 60% ธนาคารกลาง 35.3% และ Korea Development Bank ประมาณ 4.7% ดังนั้น ถ้ารวมการถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม KEXIM ถือว่าเป็นสถาบันการเงินของรัฐ การลงทุนในตราสารหนี้ของ KEXIM จึงถือว่ามีความเสี่ยงตํ่า นอกจากนี้การลงทุนในตราสารหนี้ของ KEXIM ของบลจ.นครหลวงไทยนั้นเป็นในรูปสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯไม่ใช่เงินวอน ดังนั้น หากมีการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินวอนตามที่นักลงทุนบางส่วนวิตกก็จะไม่มีผลกระทบโดยตรงกับการลงทุน ผู้ลงทุนในกองทุนจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด
