บลจ.กสิกรไทยแจง ผลการดำเนินงานกองดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟพุ่ง ปี51 สินทรัพย์สุทธิปรับตัวขึ้นกว่า 587 ล้านบาท หรือ กว่า 229% เหตุราคาพันธบัตรสูงขึ้นจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง ขณะเดียวกันพบ 3 ปีที่ผ่านมากองทุนนี้จ่ายปันผลไปแล้วรวมกว่า 90 บาทต่อหน่วย
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าทางบริษัทหลักทรัพย์ได้ทำการชี้แจงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดดัชนีพันบัตรไทยเอบีเอฟ โดย อ้างถึงหนังสือของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ บจ.(ว)65/2536 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2536 ซึ่งให้กองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชี้แจงเหตุผลหากงบกำไรขาดทุนในงวดใดมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ 20 จากงวดเดียวกันของปีก่อนนั้น
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ ขอชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับงวดปี สิ้นสุดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 โดยเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลการดำเนินงานของงวดปี 2551 สินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้น 585.73 ล้านบาท หรือ 118.31บาท ต่อหน่วย ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวลดลงจากภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ราคาของพันธบัตรที่กองทุนถือไว้ปรับตัวสูงขึ้นทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 229.47
สำหรับกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้สกุลเงินบาทดังต่อไปนี้ (1) ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือ (2) ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรของรัฐบาลไทย หรือองค์กรที่จัดตั้งโดยรัฐบาลไทย หรือหน่วยงานราชการอิสระ หรือส่วนราชการ หรือองค์กรกึ่งรัฐ (Quasi Thai Government) โดยตราสารดังกล่าว ต้องมีรัฐบาลไทยค้ำประกันทั้งจำนวนหรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับ Investment Grade จาก Fitch Ratings หรือ Standard & Poor's หรือ Moody's Investors Service หรือ (3) ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลของสมาชิก EMEAP หรือ (4) ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรระหว่างประเทศ (Supranational) ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างน้อยในระดับ AA- จากผู้จัดอันดับความน่าเชื่อถือตาม (2) หรือ (5) ตราสารอื่น ๆ ที่อยู่ในส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิง หรือ (6) ตราสารไม่ด้อยสิทธิอื่น ๆ ที่ผู้ออกตราสารอยู่ในส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิง ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ตราสารของผู้ออกตราสารนั้นมีคุณสมบัติเป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิงได้ โดยไม่ต้องมีการค้ำประกันจากรัฐบาล
นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่า กองทุนนี้มีการจ่ายปันผลไปแล้วจำนวน 5 ครั้งรวม 90.600 บาท/หน่วย โดยมีการจ่ายครั้งแรกในวันที่ 26 มิถุนายน 2006 จำนวน 8.000 บาทต่อหน่วย ครั้งที่ 2 วันที่ 29 ธันวาคม 2006 ในอัตรา 25 บาทต่อหน่วย ครั้งที่ 3 วันที่ 28 มิถุนายน 2007 ในอัตรา 40.00 บาทต่อหน่วย ครั้งที่ 4 วันที่ 3 มกราคม 2008 อัตรา 0.600 บาทต่อหน่วย ครั้งที่ 5 วันที่ 27 มิถุนายน 2008 อัตรา 17 บาทต่อหน่วย
อนึ่ง นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึงแผนงานในปีนี้เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ว่า โดยการรักษาผลงานการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้แอคทีฟมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น ที่จะคัดเลือกหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูง ผลประกอบการดี เป็นหลัก ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้จะดูเรื่องผลตอบแทนละความเสี่ยง ซึ่งเชื่อว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง การลงทุนในพันธบัตรระยะยาวคงจะมีความน่าสนใจมากขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นเองจะมีการปรับตัวลดลงตามอัตราดอกเบี้ย
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าทางบริษัทหลักทรัพย์ได้ทำการชี้แจงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดดัชนีพันบัตรไทยเอบีเอฟ โดย อ้างถึงหนังสือของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ บจ.(ว)65/2536 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2536 ซึ่งให้กองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชี้แจงเหตุผลหากงบกำไรขาดทุนในงวดใดมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ 20 จากงวดเดียวกันของปีก่อนนั้น
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ ขอชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับงวดปี สิ้นสุดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 โดยเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลการดำเนินงานของงวดปี 2551 สินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้น 585.73 ล้านบาท หรือ 118.31บาท ต่อหน่วย ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวลดลงจากภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ราคาของพันธบัตรที่กองทุนถือไว้ปรับตัวสูงขึ้นทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 229.47
สำหรับกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้สกุลเงินบาทดังต่อไปนี้ (1) ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือ (2) ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรของรัฐบาลไทย หรือองค์กรที่จัดตั้งโดยรัฐบาลไทย หรือหน่วยงานราชการอิสระ หรือส่วนราชการ หรือองค์กรกึ่งรัฐ (Quasi Thai Government) โดยตราสารดังกล่าว ต้องมีรัฐบาลไทยค้ำประกันทั้งจำนวนหรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับ Investment Grade จาก Fitch Ratings หรือ Standard & Poor's หรือ Moody's Investors Service หรือ (3) ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลของสมาชิก EMEAP หรือ (4) ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรระหว่างประเทศ (Supranational) ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างน้อยในระดับ AA- จากผู้จัดอันดับความน่าเชื่อถือตาม (2) หรือ (5) ตราสารอื่น ๆ ที่อยู่ในส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิง หรือ (6) ตราสารไม่ด้อยสิทธิอื่น ๆ ที่ผู้ออกตราสารอยู่ในส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิง ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ตราสารของผู้ออกตราสารนั้นมีคุณสมบัติเป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิงได้ โดยไม่ต้องมีการค้ำประกันจากรัฐบาล
นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่า กองทุนนี้มีการจ่ายปันผลไปแล้วจำนวน 5 ครั้งรวม 90.600 บาท/หน่วย โดยมีการจ่ายครั้งแรกในวันที่ 26 มิถุนายน 2006 จำนวน 8.000 บาทต่อหน่วย ครั้งที่ 2 วันที่ 29 ธันวาคม 2006 ในอัตรา 25 บาทต่อหน่วย ครั้งที่ 3 วันที่ 28 มิถุนายน 2007 ในอัตรา 40.00 บาทต่อหน่วย ครั้งที่ 4 วันที่ 3 มกราคม 2008 อัตรา 0.600 บาทต่อหน่วย ครั้งที่ 5 วันที่ 27 มิถุนายน 2008 อัตรา 17 บาทต่อหน่วย
อนึ่ง นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึงแผนงานในปีนี้เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ว่า โดยการรักษาผลงานการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้แอคทีฟมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น ที่จะคัดเลือกหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูง ผลประกอบการดี เป็นหลัก ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้จะดูเรื่องผลตอบแทนละความเสี่ยง ซึ่งเชื่อว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง การลงทุนในพันธบัตรระยะยาวคงจะมีความน่าสนใจมากขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นเองจะมีการปรับตัวลดลงตามอัตราดอกเบี้ย