xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรตั้ง"รพี"คุมทัพบลจ. เริ่มเดินหน้าทำงานต้นปี52

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กสิกรไทย ได้หัวเรือใหม่รับปีฉลู แบงก์แม่โยก”รพี สุจริตกุล”นั่งแทนผู้บริหาร หลังจากดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในฝากบริษัทหลักทรัพย์ เตรียมเดินเครื่องทำงานต้นปีหน้า

นายประสาร ไตรรัตนวรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้ทำการแต่งตั้ง นายรพี สุจริตกุล ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป

สำหรับ นายรพี สุจริตกุล ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ เดิมดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ตั้งแต่ช่วงปี 2548 และเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ทั้งนี้ นายรพี สุจริตกุล เริ่มงานที่ ก.ล.ต.ยุคก่อตั้งก.ล.ต.ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการ ตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย. 2535-30 ก.ย. 2537 รวม 2 ปี 5 เดือน 8 วัน จากนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกำกับตลาดทุน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2537-29 ก.พ. 2539 รวม 1 ปี 5 เดือน และตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกำกับธุรกิจหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2539 - 31 ม.ค. 2543 รวม 3 ปี 11 เดือน

โดย ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2543 - 12 ธ.ค. 2545 รวม 2 ปี 10 เดือน 12 วัน ก่อนจะดำรงตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส รวม 1 ปี 9 เดือนกับ 3 วัน

อนึ่ง บลจ.กสิกรไทย เป็นบลจ.ที่มีขนาดสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม(ไม่นับรวมกองทุนประเภทอื่น) จากทั้งหมด 21 แห่ง โดยการขยายตัวของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) ในช่วงที่ผ่านมา ณ สิ้นเดือนตุลาคม มีอัตราการเติบโตขึ้นมากว่า 6% แม้ภาพรวมของทั้งอุตสาหกรรมกองทุนรวมจะติดลบลงถึง 2%

ทั้งนี้บลจ.กสิกรไทย มีสินทรัพยรวมฯ อยู่ที่ประมาณ 3.38 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวมประมาณ 2.53 แสนล้านบาท ที่เหลือจะเป็นกองทุนประเภทต่างๆ อย่างไพรเวทฟันด์ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น

โดยกองทุนที่มีการขยายตัวมากที่สุดจะเป็นกองทุนเปิด K-TREASURY ที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุดคือ กว่า 6 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 8.8 หมื่นล้านบาท ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2551 และกองทุนพันธบัตรเกาหลี ซึ่งเรามีทั้งหมดประมาณ 28 กองทุนรวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยมีบัญชีใหม่ที่มาลงทุนกับบริษัทเพิ่มขึ้นจากเดิมในปี 2550 ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 160,790 ราย มาอยู่ที่ 295,067 ราย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 134,277 ราย
กำลังโหลดความคิดเห็น