บลจ.กสิกรไทย คาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเห็นผลได้ในช่วงปลายปีนี้ ส่วนตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นรับข่าวดีนั้นก่อน โดยรวมเชื่อปีนี้จีดีพีอยู่ที่ 0.5 -1.5%
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า มาตรการต่างๆที่ออกมาจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายปีนี้หรืออย่างช้าต้นปี 2553 โดยคาดว่าเดือนกันยายน - ตุลาคมนี้ เม็ดเงินที่รัฐบาลอัดฉีดลงไปนั้นจะเกิดผลในทางปฏิบัติและจะกระตุ้นให้เอกชนมีการลงทุนตามมา ขณะเดียวกันการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่าง ๆ จะเริ่มเดินหน้าหรือมีความชัดเจนมากขึ้น
ส่วนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 อาจจะเติบโตประมาณ 0.5 – 1.5% เนื่องจากได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ท่ามกลางภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยจะตอบรับก่อนเศรษฐกิจจริงจะเริ่มฟื้นตัวเศรษฐกิจประมาณ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เชื่อว่าตลอดปีนี้ดัชนีหุ้นไทยยังมีความผันผวนโดยอาจจะมีการฟื้นตัวบ้างเล็กน้อยในช่วงนี้ เพราะได้รับผลดีจากแจนยัวรี่ เอฟเฟกต์ แต่ไม่ใช่การฟื้นตัวแบบถาวร เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังถือเงินสดเพื่อรอดูทิศทางของเศรษฐกิจให้มีความชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจกลับเข้าซื้อหุ้นอีกครั้ง จึงประเมินว่าดัชนีหุ้นปีนี้มีโอกาสขึ้นไปที่ 600 จุด ขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้นจะอยู่ประมาณ 0.5-1.5% เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ในด้านการวางแผนการลงทุน บริษัทจะมุ่งแนะนำให้นักลงทุนลงทุนระยะสั้น โดยเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้เอกชน อายุประมาณ 3 เดือน ดังนั้นตราสารหนี้เอกชน บริษัทขอแนะนำนักลงทุนว่าให้พิจารณาตราสารหนี้เอกชนที่ได้รับการจัดเรตติ้ง ระดับ AA ซึ่งการลงทุนระยะสั้นจะมีความปลอดภัยมากกว่าเพราะผลกระทบเศรษฐกิจโลกยังประเมินได้ไม่ชัดเจนมากนัก
ทั้งนี้ความคิดเห็นดังกล่าวมีลักษณะใกล้เคียงกับ นางสาวโศภนา เจนบวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย ที่เคยแสดงความเห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันน่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่ประเทศต่างๆ ได้มีการใช้มาตรการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่ากว่ามาตรการเหล่านั้นจะเห็นผลคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ขณะเดียวกันหากมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะประสบความสำเร็จและเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในปลายปี2552 นี้ ดัชนีหุ้นไทยน่าจะก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นก่อนหน้าได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า ดัชนีน่าจะอยู่ในระดับเป้าหมายที่ 600 จุด ซึ่งเป็นการมองแบบระมัดระวังมากแล้ว โดยอาจจะอยู่ในช่วงใดก็ได้ของปี
ส่วนหุ้นกลุ่มที่น่าจะสนใจลงทุนในปีนี้ จะอยู่ใน กลุ่มพลังงาน กลุ่มที่อ้างอิงการบริโภค และพาณิชย์ โดยกลุ่มของพลังงานเชื่อว่า ราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะปรับตัวกลับขึ้นมาได้ แม้ว่าจะไม่มากเท่ากับในอดีตก็ตาม ขณะที่กลุ่มที่อิงกับการบริโภคในประเทศและกลุ่มพาณิชย์ รวมทั้งหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ซึ่งอาจจะต้องเลือกดูเป็นรายธนาคารไป
ดังนั้น หากเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้วการลงทุนในช่วงเวลานี้นี่ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน เพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจนปัจจุบันบริษัทในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BV) ประมาณ 30-40%
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า มาตรการต่างๆที่ออกมาจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายปีนี้หรืออย่างช้าต้นปี 2553 โดยคาดว่าเดือนกันยายน - ตุลาคมนี้ เม็ดเงินที่รัฐบาลอัดฉีดลงไปนั้นจะเกิดผลในทางปฏิบัติและจะกระตุ้นให้เอกชนมีการลงทุนตามมา ขณะเดียวกันการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่าง ๆ จะเริ่มเดินหน้าหรือมีความชัดเจนมากขึ้น
ส่วนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 อาจจะเติบโตประมาณ 0.5 – 1.5% เนื่องจากได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ท่ามกลางภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยจะตอบรับก่อนเศรษฐกิจจริงจะเริ่มฟื้นตัวเศรษฐกิจประมาณ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เชื่อว่าตลอดปีนี้ดัชนีหุ้นไทยยังมีความผันผวนโดยอาจจะมีการฟื้นตัวบ้างเล็กน้อยในช่วงนี้ เพราะได้รับผลดีจากแจนยัวรี่ เอฟเฟกต์ แต่ไม่ใช่การฟื้นตัวแบบถาวร เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังถือเงินสดเพื่อรอดูทิศทางของเศรษฐกิจให้มีความชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจกลับเข้าซื้อหุ้นอีกครั้ง จึงประเมินว่าดัชนีหุ้นปีนี้มีโอกาสขึ้นไปที่ 600 จุด ขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้นจะอยู่ประมาณ 0.5-1.5% เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ในด้านการวางแผนการลงทุน บริษัทจะมุ่งแนะนำให้นักลงทุนลงทุนระยะสั้น โดยเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้เอกชน อายุประมาณ 3 เดือน ดังนั้นตราสารหนี้เอกชน บริษัทขอแนะนำนักลงทุนว่าให้พิจารณาตราสารหนี้เอกชนที่ได้รับการจัดเรตติ้ง ระดับ AA ซึ่งการลงทุนระยะสั้นจะมีความปลอดภัยมากกว่าเพราะผลกระทบเศรษฐกิจโลกยังประเมินได้ไม่ชัดเจนมากนัก
ทั้งนี้ความคิดเห็นดังกล่าวมีลักษณะใกล้เคียงกับ นางสาวโศภนา เจนบวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย ที่เคยแสดงความเห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันน่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่ประเทศต่างๆ ได้มีการใช้มาตรการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่ากว่ามาตรการเหล่านั้นจะเห็นผลคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ขณะเดียวกันหากมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะประสบความสำเร็จและเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในปลายปี2552 นี้ ดัชนีหุ้นไทยน่าจะก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นก่อนหน้าได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า ดัชนีน่าจะอยู่ในระดับเป้าหมายที่ 600 จุด ซึ่งเป็นการมองแบบระมัดระวังมากแล้ว โดยอาจจะอยู่ในช่วงใดก็ได้ของปี
ส่วนหุ้นกลุ่มที่น่าจะสนใจลงทุนในปีนี้ จะอยู่ใน กลุ่มพลังงาน กลุ่มที่อ้างอิงการบริโภค และพาณิชย์ โดยกลุ่มของพลังงานเชื่อว่า ราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะปรับตัวกลับขึ้นมาได้ แม้ว่าจะไม่มากเท่ากับในอดีตก็ตาม ขณะที่กลุ่มที่อิงกับการบริโภคในประเทศและกลุ่มพาณิชย์ รวมทั้งหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ซึ่งอาจจะต้องเลือกดูเป็นรายธนาคารไป
ดังนั้น หากเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้วการลงทุนในช่วงเวลานี้นี่ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน เพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจนปัจจุบันบริษัทในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BV) ประมาณ 30-40%