กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ซึมพิษหุ้นร่วง จ่ายปันผลงวดครึ่งหลังปีหนู 1.5% จากรายได้จากการลงทุนสุทธิรวมกับกำไรที่เกิดขึ้นจริงรวม 9,755.23 ล้านบาท ทำให้ทั้งปี ผู้ถือหน่วยรับไปเพียง 4.5% พบต่ำกว่าปี 2550 ซึ่งทั้งปีจ่ายไป 6% แต่ยังสูงกว่าการันตีปีละ 3%
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหานชน) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 โดยกองทุนมีนโยบายคุ้มครองเงินต้นและอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ มูลค่าโครงการ 100,000 ล้านบาท อายุโครงการ 10 ปี นั้น ล่าสุด ในวันที่ 27 มกราคม 2552 ที่ประชุมคณะกรรมการการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับช่วงระยะเวลา 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2551 ในอัตราร้อยละ 1.5 หรือ 0.15 บาท ต่อ 1 หน่วยลงทุน สำหรับหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งมีประชาชนทั่วไปและนิติบุคคลทั่วไปเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน จำนวน7,000 ล้านหน่วยลงทุน โดยกำหนดการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนรวมวายุภักษ์ และกรรมการในคณะกรรมการลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กล่าวว่า การอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับรอบผลการดำเนินงาน 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2551 ในอัตราร้อยละ 4.5 สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. หรือนักลงทุนทั่วไป พิจารณาจากรายได้จากการลงทุนสุทธิรวมกับกำไรที่เกิดขึ้นจริง ในปี 2551 เท่ากับ 9,755.23 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปี 2550 ที่ 9,242.65 ล้านบาท และมีผลขาดทุนจากการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงเท่ากับ 15,140.67 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรจากการลงทุนในงวดเดียวกันของปี 2550 ที่ 3,481.74 ล้านบาท และในปี 2551 กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจากการดำเนินงานลดลง 5,385.43 ล้านบาท
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่ากองทุนได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงินสำคัญของโลก อย่างไรก็ตาม กองทุนยังมีกำไรสะสมเพียงพอที่ทำให้กองทุนสามารถจ่ายเงินปันผลรายปีในอัตราร้อยละ 4.5 สำหรับนักลงทุนประเภท ก. ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ทั้งนี้ กองทุนได้จ่ายเงินปันผลสำหรับรอบผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกในอัตราร้อยละ 3.0 และคงเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังอีกในอัตราร้อยละ 1.5 สำหรับนักลงทุนประเภท ก. โดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ จะทำการปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 และผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552
สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง มีขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ 31 ธันวาคม 2551 เท่ากับ 134,521.53 ล้านบาท และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยลงทุนของนักลงทุนประเภท ก (นักลงทุนทั่วไป) เท่ากับ 10.6965 บาท กองทุนเป็นกองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่นซึ่งมีนโยบายการลงทุน ทั้งใน ตราสารแห่งทุนและตราสารแห่งหนี้ โดยปัจจุบันลงทุนในตราสารแห่งทุนประมาณ 85% และ ตราสารแห่งหนี้ ประมาณ 15%
รายงานข่าวระบุว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนวายุภักษ์ในปี 2550 ที่ผ่านมา กองทุนสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราทั้งปีรวม 7% โดยเป็นการจ่ายปันผล 3% ในช่วงครึ่งปีแรก และ 4% ซึ่งก่อนหน้านี้ นายพิชิตกล่าวว่า ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานของกองทุนจะได้รับผลกระทบจากการที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะยังสามารถจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ เพราะกองทุนมีกำไรสะสมจากการลงทุนอยู่ทั้งสิ้น 41,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการจ่ายผลตอบแทนดังกล่าว โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา กองทุนได้จ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยไปแล้วในอัตรา 3% คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังกล่าวอีกว่า จากกำไรสะสมของกองทุนจะเห็นว่า สูงกว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลถึง 10 เท่า ดังนั้น กองทุนจึงสามารถจ่ายผลตอบแทนตามที่ได้การันตีให้กับผู้ถือหน่วยรายย่อยปีละ 3% ได้แน่นอน ขณะเดียวกัน กองทุนเองก็มีการสำรองเงินจำนวน 12,600 ล้านบาท ไว้สำหรับจ่ายปันผลในช่วงที่กองทุนยังมีอายุการลงทุนอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหานชน) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 โดยกองทุนมีนโยบายคุ้มครองเงินต้นและอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ มูลค่าโครงการ 100,000 ล้านบาท อายุโครงการ 10 ปี นั้น ล่าสุด ในวันที่ 27 มกราคม 2552 ที่ประชุมคณะกรรมการการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับช่วงระยะเวลา 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2551 ในอัตราร้อยละ 1.5 หรือ 0.15 บาท ต่อ 1 หน่วยลงทุน สำหรับหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งมีประชาชนทั่วไปและนิติบุคคลทั่วไปเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน จำนวน7,000 ล้านหน่วยลงทุน โดยกำหนดการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนรวมวายุภักษ์ และกรรมการในคณะกรรมการลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กล่าวว่า การอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับรอบผลการดำเนินงาน 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2551 ในอัตราร้อยละ 4.5 สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. หรือนักลงทุนทั่วไป พิจารณาจากรายได้จากการลงทุนสุทธิรวมกับกำไรที่เกิดขึ้นจริง ในปี 2551 เท่ากับ 9,755.23 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปี 2550 ที่ 9,242.65 ล้านบาท และมีผลขาดทุนจากการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงเท่ากับ 15,140.67 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรจากการลงทุนในงวดเดียวกันของปี 2550 ที่ 3,481.74 ล้านบาท และในปี 2551 กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจากการดำเนินงานลดลง 5,385.43 ล้านบาท
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่ากองทุนได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงินสำคัญของโลก อย่างไรก็ตาม กองทุนยังมีกำไรสะสมเพียงพอที่ทำให้กองทุนสามารถจ่ายเงินปันผลรายปีในอัตราร้อยละ 4.5 สำหรับนักลงทุนประเภท ก. ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ทั้งนี้ กองทุนได้จ่ายเงินปันผลสำหรับรอบผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกในอัตราร้อยละ 3.0 และคงเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังอีกในอัตราร้อยละ 1.5 สำหรับนักลงทุนประเภท ก. โดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ จะทำการปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 และผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552
สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง มีขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ 31 ธันวาคม 2551 เท่ากับ 134,521.53 ล้านบาท และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยลงทุนของนักลงทุนประเภท ก (นักลงทุนทั่วไป) เท่ากับ 10.6965 บาท กองทุนเป็นกองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่นซึ่งมีนโยบายการลงทุน ทั้งใน ตราสารแห่งทุนและตราสารแห่งหนี้ โดยปัจจุบันลงทุนในตราสารแห่งทุนประมาณ 85% และ ตราสารแห่งหนี้ ประมาณ 15%
รายงานข่าวระบุว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนวายุภักษ์ในปี 2550 ที่ผ่านมา กองทุนสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราทั้งปีรวม 7% โดยเป็นการจ่ายปันผล 3% ในช่วงครึ่งปีแรก และ 4% ซึ่งก่อนหน้านี้ นายพิชิตกล่าวว่า ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานของกองทุนจะได้รับผลกระทบจากการที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะยังสามารถจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ เพราะกองทุนมีกำไรสะสมจากการลงทุนอยู่ทั้งสิ้น 41,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการจ่ายผลตอบแทนดังกล่าว โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา กองทุนได้จ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยไปแล้วในอัตรา 3% คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังกล่าวอีกว่า จากกำไรสะสมของกองทุนจะเห็นว่า สูงกว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลถึง 10 เท่า ดังนั้น กองทุนจึงสามารถจ่ายผลตอบแทนตามที่ได้การันตีให้กับผู้ถือหน่วยรายย่อยปีละ 3% ได้แน่นอน ขณะเดียวกัน กองทุนเองก็มีการสำรองเงินจำนวน 12,600 ล้านบาท ไว้สำหรับจ่ายปันผลในช่วงที่กองทุนยังมีอายุการลงทุนอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย
