บลจ. ไอเอ็นจี ชี้ ตราสารหนี้ยังน่าลงทุนในยามเศรษฐกิจถดถอย เผยกองทุนตราสารหนี้ในประเทศเกิดใหม่มีแนวโน้มที่ดีหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวโดยเฉพาะในระยะยาว ส่วน"ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต"ผลตอบแทนมีโอกาสสดใสเพราะลงทุนในบอนด์รัฐถึง 5 ประเทศ
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของของบรรดาประเทศเกิดใหม่ว่า กลุ่มประเทศเกิดใหม่นั้นได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งผลกระทบที่ได้รับนั้นไม่ได้เป็นผลโดยตรงแต่อย่างใด แต่เป็นผลกระทบในลักษณะที่เป็นปลายทางคือชะลอตัวลงไปตามประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก อย่างไรก็ตามบรรดากลุ่มประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ยังมีโอกาศที่ดี หากเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัว
โดยตามหลักการของการลงทุนนั้น หากเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอย ตราสารที่น่าเข้าไปลงทุนมากที่สุด คือ ตราสารหนี้ ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น ตราสารที่น่าเข้าไปลงทุนก็คือ หุ้น ขณะเดียวกันหากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นมากตราสารที่มีความน่าลงทุนก็คือ สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) และสุดท้ายหากเศรษฐกิจเริ่มมีการชะลอตัวลงมาสิ่งที่เหมาะสมก็คือการถือเงินสดไว้เพื่อรอตัวสถานการณ์
"ดังนั้นในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอยอยู่ในขณะนี้ ตราสารที่หมาะสมแก่การลงทุนมากที่สุดก็คือการลงทุนในตราสารหนี้" นายจุมพล กล่าว
ทั้งนี้ในส่วนของกองทุนเป?ด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ป?นผลซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้นั้น นายจุมพลกล่าวว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตนั้น จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนดีขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน โดยในส่วนของตราสารหนี้หลักๆ 5 อันดับแรกที่ บริษัทเลือกเข้าไปลงทุนนั้นได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลประเทศเม็กซิโก รัสเซีย บราซิล มาเลเซีย และเปรู ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่มีอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ดีทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ตามสำหรับสถานการณ์โลกนั้นต้องดูไปที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯเป็นหลักว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้เมื่อใด ซึ่งคาดว่าวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกจะคลี่คลายได้ต้องใช้เวลาประมาณ 18 เดือน
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2551 กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ปันผล มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -15.99% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน Benchmark JP Morgan EMBI - Global Diversified Investment Grade อยู่ที่ -12.42% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 13.27% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 11.96% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -6.04% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -4.71% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 2.59% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 4.66%
สำหรับกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต - ปันผล (ING Thai Global Emerging Market - Dividend Fund) เป็นกองทุนประเภทกองทุนรวมผสมไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่มีกำหนด มีเงินทุนโครงการ 3,000 ล้านบาท
โดยมีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหนี้ที่เสนอขายในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคต่างๆของโลก เหมาะสำหรับ นักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนค่อนข้างยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนที่สูง และสามารถรับความเสี่ยงของความผันผวนและความไม่สม่ำเสมอของอัตราผลตอบแทนได้ ซึ่งกองทุนมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของ กำไรสุทธิของแต่ละงวดบัญชีหรืองวดอื่นใดที่จะจ่ายเงินปันผลนั้น
นายจอห์น คาลเวอร์ลีย์ หัวหน้าสำนักวิจัย ประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด โตรอนโต ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ภายใต้วิกฤตการเงินโลกว่า เศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในภาวะถดถอยอย่างหนักต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2552 และจะค่อยๆเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งสหรัฐดำเนินนโยบายผ่อนคลายอย่างแข็งกร้าว โดยลดอัตราดอกเบี้ยลงเกือบเป็นศูนย์ ตลอดจนมาตรการทางการคลังใหม่ๆอีกหลายอย่างจากประธานาธิบดีโอบามา เพื่อฉุดเศรษฐกิจสหรัฐจากภาวะตกต่ำ ขณะเดียวกันปัญหาที่เกิดขึ้นกับสหรัฐในขณะนี้จัดว่ารุนแรงมาก โดยเฉพาะการล่มสลายของฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และความตึงตัวของระบบการเงินซึ่งปัญหาที่สหรัฐเผชิญอยู่คล้ายคลึงกับวิกฤติในไทยเมื่อปี 2540-41 แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมากคือ สหรัฐไม่ได้เกิดวิกฤติค่าเงิน
นอกจากนี้ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐกำลังลุกลามไปถึงยุโรปและญี่ปุ่น และหลายๆประเทศในตลาดเกิดใหม่ โดยทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวตามอย่างรุนแรงตามไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกพร้อมๆกันครั้งรุนแรงที่สุดตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 แต่ทันใดที่ปัญหาในสหรัฐเริ่มคลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติและเริ่มฟื้นตัว เอเชียก็น่าจะดีขึ้นตาม เอเชียโดยทั่วไป มีปัญหาทางด้านโครงสร้างน้อยกว่าสหรัฐ ดังนั้นจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2553
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของของบรรดาประเทศเกิดใหม่ว่า กลุ่มประเทศเกิดใหม่นั้นได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งผลกระทบที่ได้รับนั้นไม่ได้เป็นผลโดยตรงแต่อย่างใด แต่เป็นผลกระทบในลักษณะที่เป็นปลายทางคือชะลอตัวลงไปตามประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก อย่างไรก็ตามบรรดากลุ่มประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ยังมีโอกาศที่ดี หากเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัว
โดยตามหลักการของการลงทุนนั้น หากเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอย ตราสารที่น่าเข้าไปลงทุนมากที่สุด คือ ตราสารหนี้ ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น ตราสารที่น่าเข้าไปลงทุนก็คือ หุ้น ขณะเดียวกันหากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นมากตราสารที่มีความน่าลงทุนก็คือ สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) และสุดท้ายหากเศรษฐกิจเริ่มมีการชะลอตัวลงมาสิ่งที่เหมาะสมก็คือการถือเงินสดไว้เพื่อรอตัวสถานการณ์
"ดังนั้นในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอยอยู่ในขณะนี้ ตราสารที่หมาะสมแก่การลงทุนมากที่สุดก็คือการลงทุนในตราสารหนี้" นายจุมพล กล่าว
ทั้งนี้ในส่วนของกองทุนเป?ด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ป?นผลซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้นั้น นายจุมพลกล่าวว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตนั้น จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนดีขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน โดยในส่วนของตราสารหนี้หลักๆ 5 อันดับแรกที่ บริษัทเลือกเข้าไปลงทุนนั้นได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลประเทศเม็กซิโก รัสเซีย บราซิล มาเลเซีย และเปรู ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่มีอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ดีทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ตามสำหรับสถานการณ์โลกนั้นต้องดูไปที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯเป็นหลักว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้เมื่อใด ซึ่งคาดว่าวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกจะคลี่คลายได้ต้องใช้เวลาประมาณ 18 เดือน
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2551 กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ปันผล มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -15.99% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน Benchmark JP Morgan EMBI - Global Diversified Investment Grade อยู่ที่ -12.42% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 13.27% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 11.96% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -6.04% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -4.71% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 2.59% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 4.66%
สำหรับกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต - ปันผล (ING Thai Global Emerging Market - Dividend Fund) เป็นกองทุนประเภทกองทุนรวมผสมไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่มีกำหนด มีเงินทุนโครงการ 3,000 ล้านบาท
โดยมีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหนี้ที่เสนอขายในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคต่างๆของโลก เหมาะสำหรับ นักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนค่อนข้างยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนที่สูง และสามารถรับความเสี่ยงของความผันผวนและความไม่สม่ำเสมอของอัตราผลตอบแทนได้ ซึ่งกองทุนมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของ กำไรสุทธิของแต่ละงวดบัญชีหรืองวดอื่นใดที่จะจ่ายเงินปันผลนั้น
นายจอห์น คาลเวอร์ลีย์ หัวหน้าสำนักวิจัย ประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด โตรอนโต ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ภายใต้วิกฤตการเงินโลกว่า เศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในภาวะถดถอยอย่างหนักต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2552 และจะค่อยๆเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งสหรัฐดำเนินนโยบายผ่อนคลายอย่างแข็งกร้าว โดยลดอัตราดอกเบี้ยลงเกือบเป็นศูนย์ ตลอดจนมาตรการทางการคลังใหม่ๆอีกหลายอย่างจากประธานาธิบดีโอบามา เพื่อฉุดเศรษฐกิจสหรัฐจากภาวะตกต่ำ ขณะเดียวกันปัญหาที่เกิดขึ้นกับสหรัฐในขณะนี้จัดว่ารุนแรงมาก โดยเฉพาะการล่มสลายของฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และความตึงตัวของระบบการเงินซึ่งปัญหาที่สหรัฐเผชิญอยู่คล้ายคลึงกับวิกฤติในไทยเมื่อปี 2540-41 แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมากคือ สหรัฐไม่ได้เกิดวิกฤติค่าเงิน
นอกจากนี้ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐกำลังลุกลามไปถึงยุโรปและญี่ปุ่น และหลายๆประเทศในตลาดเกิดใหม่ โดยทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวตามอย่างรุนแรงตามไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกพร้อมๆกันครั้งรุนแรงที่สุดตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 แต่ทันใดที่ปัญหาในสหรัฐเริ่มคลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติและเริ่มฟื้นตัว เอเชียก็น่าจะดีขึ้นตาม เอเชียโดยทั่วไป มีปัญหาทางด้านโครงสร้างน้อยกว่าสหรัฐ ดังนั้นจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2553