บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าโพรวิเด้นท์ฟันด์ขึ้นเบอร์ 1 ภายในปี 52 เน้นทำกลยุทธ์ผ่านช่องทางแบงก์แม่ รักษาผลการดำเนินงาน และความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นหลัก พร้อมระบุไตรมาส 1 รู้แน่ยอดลงทุนจะลดหรือไม่ หากเกิดการว่างงานเพิ่มมากขึ้นในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การขยายตัวของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ในปีที่ผ่านมา(2551) ของบริษัทถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณอันดับที่ 4 ของอุตสาหกรรม ซึ่งล่าสุดยังได้รับความไว้วางใจให้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) และทำให้สินทรัพย์รวมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทบริหารงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ ในปี2552 บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายสินทรัพย์ของกองทุนประเภทนี้ให้อยู่ในอันดับหนึ่งของทั้งอุตสาหกรรม โดยในปีที่ผ่านมาการขยายตัวของกองทุนประเภทนี้ทั้งอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ประมาณ 10% และมีวงเงินรวมทั้งหมดประมาณ 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งมาจาการขยายตัวของนายจ้างใหม่ที่มีการจัดตั้งกองทุนเพิ่มขึ้น รวมถึงการมีสมาชิกเพิ่มขึ้นในกองทุนเก่า
ส่วนกลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทจะดำเนินตามนโยบายโดยรวมของบริษัท คือ การรักษาผลการดำเนินงาน และ การรักษาฐานลูกค้าเดิมให้ได้ 100% นอกจากนี้ยังเน้นเข้าถึงลูกค้า รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคณะกรรมการกองทุนของบริษัทต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้นด้วยการผ่านช่องทางของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งฐานลูกค้าเป็นจำนวนมาก
“การมี Empolyee choice เป็นผลดีต่อกองทุนนี้และนักลงทุน โดยสามารถเลือกลงทุนได้ตรงตามความต้องการมากกว่าเมื่อก่อน และหลังจากนี้เราต้องให้ความรู้กับพนักงานของแต่ละองค์กรให้มากขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมาเขาเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว จนทำให้กองทุนประเภทนี้ขยายตัวได้”นายเกษตรกล่าว
นายเกษตร กล่าวว่า การแข่งขันด้านค่าธรรมเนียมถือเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งในปีที่ผ่านมา โดยบริษัทจะไม่เน้นในเรื่องของการลดค่าธรรมเนียม ซึ่งการบริหารของบริษัทจะเน้นเรื่องผลการดำเนินงาน และความเป็นไปได้ให้สอดคล้องกับความต้องการของทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่า
“เราไม่ค่อยเน้นเรื่องนี้ แต่เราจะดูความเหมาะสม และหานโยบายที่อยู่ในแนวทางเดียวกัน โดยที่เราสามารถทำได้มากกว่า”นายเกษตรกล่าว
ส่วนปัญหาของเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของการลงทุนในปีที่ผ่านมาถือว่าผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เราบริหารอยู่เพียงเล็กน้อย โดยกองที่ได้รับผลกระทบจะเป็นกองที่มีการลงทุนในหุ้นประมาณ 16% ของพอร์ตการลงทุน แต่มีผลการดำเนินงานติดลบเพียง 6-7% เท่านั้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับทั้งอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทได้วางแนวทางการบริหารงานกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านหลังจากมีการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปบ้าง แต่ในปีนี้คาดว่าจะมีการเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นได้ เนื่องจาก คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นในปีนี้จะอยู่ในช่วงขาขึ้น ถึงแม้จะมีความผันผวนสูงก็ตาม
นายเกษตร กล่าวอีกว่า สถาการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะทำให้มีการว่างเงินเพิ่มมากขึ้นนั้น ในปีที่ผ่านมายังมิได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากนัก โดยเชื่อว่าตัวเลขที่ชัดเจนน่าจะปรากฏให้เห็นได้ในช่วงไตรมาสหนึ่งของปีนี้
อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมา มีนายจ้างบางส่วนประมาณ 20 รายได้โทรมาสอบถามรายละเอียดในการขอหยุดจ่ายเงินสมทบชั่วคราว หรือลดจำนวนเงินสมทบเข้ากองทุนเช่นกัน แต่ก็ยังไม่ชัดเจนมากนัก
“มีบ้างที่ขอหยุดจ่ายสมทบชั่วคราว แต่ในส่วนของรัฐวิสาหกิจเข้าจะมีกำหนดไว้อยู่แล้ว แต่ในสัดส่วนที่เป็นของลูกจ้างที่จากเดิมอาจมีการจ่ายสมทบเท่านายจ้างตั้งแต่ 3-10% ก็อาจมีการปรับลดในส่วนนี้ทำให้เม็ดเงินหายไปบ้างในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้”นายเกษตรกล่าว
อนึ่ง รายงานจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยถึง 5 อันดับสินทรัพย์รวมของกองทุนสำรองเลี้ยงในอุตสาหกรรม ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 พบว่า บลจ.ทิสโก้ อยุ่ในอันดับ 1 และมียอดสินทรัพย์รวมทั้งหมด 66,260.95 ล้านบาท อันดับ 2 บลจ.กรุงไทย จำกัด(มหาชน) มียอดสินทรัพย์รวม 59,115.75 ล้านบาท อันดับ 3 บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) มียอดสินทรัพย์รวม 54,021.73 ล้านบาท อันดับ 4 บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด มียอดสินทรัพย์รวม 52,509.43 ล้านบาท และอันดับ 5 บลจ.กสิกรไทย จำกัด มียอดสินทรัพย์รวม 50,951.20 ล้านบาท
นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การขยายตัวของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ในปีที่ผ่านมา(2551) ของบริษัทถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณอันดับที่ 4 ของอุตสาหกรรม ซึ่งล่าสุดยังได้รับความไว้วางใจให้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) และทำให้สินทรัพย์รวมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทบริหารงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ ในปี2552 บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายสินทรัพย์ของกองทุนประเภทนี้ให้อยู่ในอันดับหนึ่งของทั้งอุตสาหกรรม โดยในปีที่ผ่านมาการขยายตัวของกองทุนประเภทนี้ทั้งอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ประมาณ 10% และมีวงเงินรวมทั้งหมดประมาณ 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งมาจาการขยายตัวของนายจ้างใหม่ที่มีการจัดตั้งกองทุนเพิ่มขึ้น รวมถึงการมีสมาชิกเพิ่มขึ้นในกองทุนเก่า
ส่วนกลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทจะดำเนินตามนโยบายโดยรวมของบริษัท คือ การรักษาผลการดำเนินงาน และ การรักษาฐานลูกค้าเดิมให้ได้ 100% นอกจากนี้ยังเน้นเข้าถึงลูกค้า รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคณะกรรมการกองทุนของบริษัทต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้นด้วยการผ่านช่องทางของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งฐานลูกค้าเป็นจำนวนมาก
“การมี Empolyee choice เป็นผลดีต่อกองทุนนี้และนักลงทุน โดยสามารถเลือกลงทุนได้ตรงตามความต้องการมากกว่าเมื่อก่อน และหลังจากนี้เราต้องให้ความรู้กับพนักงานของแต่ละองค์กรให้มากขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมาเขาเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว จนทำให้กองทุนประเภทนี้ขยายตัวได้”นายเกษตรกล่าว
นายเกษตร กล่าวว่า การแข่งขันด้านค่าธรรมเนียมถือเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งในปีที่ผ่านมา โดยบริษัทจะไม่เน้นในเรื่องของการลดค่าธรรมเนียม ซึ่งการบริหารของบริษัทจะเน้นเรื่องผลการดำเนินงาน และความเป็นไปได้ให้สอดคล้องกับความต้องการของทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่า
“เราไม่ค่อยเน้นเรื่องนี้ แต่เราจะดูความเหมาะสม และหานโยบายที่อยู่ในแนวทางเดียวกัน โดยที่เราสามารถทำได้มากกว่า”นายเกษตรกล่าว
ส่วนปัญหาของเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของการลงทุนในปีที่ผ่านมาถือว่าผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เราบริหารอยู่เพียงเล็กน้อย โดยกองที่ได้รับผลกระทบจะเป็นกองที่มีการลงทุนในหุ้นประมาณ 16% ของพอร์ตการลงทุน แต่มีผลการดำเนินงานติดลบเพียง 6-7% เท่านั้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับทั้งอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทได้วางแนวทางการบริหารงานกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านหลังจากมีการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปบ้าง แต่ในปีนี้คาดว่าจะมีการเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นได้ เนื่องจาก คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นในปีนี้จะอยู่ในช่วงขาขึ้น ถึงแม้จะมีความผันผวนสูงก็ตาม
นายเกษตร กล่าวอีกว่า สถาการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะทำให้มีการว่างเงินเพิ่มมากขึ้นนั้น ในปีที่ผ่านมายังมิได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากนัก โดยเชื่อว่าตัวเลขที่ชัดเจนน่าจะปรากฏให้เห็นได้ในช่วงไตรมาสหนึ่งของปีนี้
อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมา มีนายจ้างบางส่วนประมาณ 20 รายได้โทรมาสอบถามรายละเอียดในการขอหยุดจ่ายเงินสมทบชั่วคราว หรือลดจำนวนเงินสมทบเข้ากองทุนเช่นกัน แต่ก็ยังไม่ชัดเจนมากนัก
“มีบ้างที่ขอหยุดจ่ายสมทบชั่วคราว แต่ในส่วนของรัฐวิสาหกิจเข้าจะมีกำหนดไว้อยู่แล้ว แต่ในสัดส่วนที่เป็นของลูกจ้างที่จากเดิมอาจมีการจ่ายสมทบเท่านายจ้างตั้งแต่ 3-10% ก็อาจมีการปรับลดในส่วนนี้ทำให้เม็ดเงินหายไปบ้างในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้”นายเกษตรกล่าว
อนึ่ง รายงานจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยถึง 5 อันดับสินทรัพย์รวมของกองทุนสำรองเลี้ยงในอุตสาหกรรม ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 พบว่า บลจ.ทิสโก้ อยุ่ในอันดับ 1 และมียอดสินทรัพย์รวมทั้งหมด 66,260.95 ล้านบาท อันดับ 2 บลจ.กรุงไทย จำกัด(มหาชน) มียอดสินทรัพย์รวม 59,115.75 ล้านบาท อันดับ 3 บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) มียอดสินทรัพย์รวม 54,021.73 ล้านบาท อันดับ 4 บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด มียอดสินทรัพย์รวม 52,509.43 ล้านบาท และอันดับ 5 บลจ.กสิกรไทย จำกัด มียอดสินทรัพย์รวม 50,951.20 ล้านบาท