xs
xsm
sm
md
lg

KTAMตั้งเป้าเอยูเอ็มโตเพิ่ม15% เตรียมเข็น5เอฟไอเอฟใหม่ออกขายนักลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - บลจ.กรุงไทยตั้งเป้าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารโต 15% จาก 1.9 แสนล้านบาท พร้อมทยอยส่งเอฟไอเอฟกองใหม่รวม 4-5 โครงการตอบสนองความต้องการนักลงทุนผ่านแอสเซทต่างๆ พร้อมมองเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 500-550 จุด เชื่อดัชนีลงทดสอบจุดต่ำสุดเดิมที่ 380 จุด อีกรอบ ล่าสุดปรับกลยุทธ์กองหุ้นเน้นหุ้นมีสภาพคล่อง พร้อมขอมติผู้ถือหน่วยใช้อนุพันธ์ช่วยบริหารกองทุน

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่ออกกองทุนต่างประเทศอีกประมาณ 4-5 กองทุนในช่วงปีนี้ โดยจะเป็นกองทุนต่างประเทศที่มีการกระจายการลงทุนออกไปในหลายๆ ส่วนเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งทางบริษัทต้องการที่จะให้นักลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านของตลาดการลงทุน โดยสินทรัพย์ที่ลงทุนนั้นต้องเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม

ขณะเดียวกันทางบริษัทจะร่วมมือกับธนาคารซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจและเป็นผู้แทนจำหน่ายกองทุน นอกจากนี้ทางบริษัทเองก็กำลังที่จะเพิ่มศักยภาพในการลงทุนให้แก่ลูกค้าด้วยกระบวนการซื้อขายหน่วยลงทุนผ่านอินเทอร์เน็ต รวมทั้งทางยังได้เพิ่มสายการตลาดของบริษัทขึ้นอีก 1 สาย โดยจะเริ่มเปิดบริการในส่วนของอินเตอร์เน็ทได้ประมาณเดือนกุมพันธ์ -เมษายน ปีนี้

“ปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ว่ามูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม) ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15% จาก ณ วันที่ 31 ธ.ค. 51 บริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์กว่า 190,000 ล้านบาท ซึ่งมีกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหาร และจัดการหลายประเภทด้วยกัน ทั้งกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนส่วนบุคคล” นายสมชัย กล่าว

นายสุทยุต เชื้อพานิช ผู้จัดการ ฝ่ายลงทุน - ตราสารทุน บลจ. กรุงไทย กล่าวว่า บริษัทมองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้าอยู่ระหว่าง 500-550 จุด โดยในช่วงครึ่งแรกของปี2552 นี้ตลาดหุ้นยังมีการแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ side way โดยการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นการวิ่งในลักษณะของ Bear Market Rally ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวลงมาอีกครั้งซึ่งอาจจะมีโอกาสลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิมบริเวณ 380 จุด ได้อีก และมีโอกาสที่ดัชนีจะลงไปต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิมได้เช่นกัน เพราะในส่วนของเศรษฐกิจจริงทุกคนมองเห็นจุดต่ำสุดแล้ว แต่ผลประกอบการไตรมาสที่4/51 ที่จะออกมาในสหรัฐ จะเห็นว่ายังสะท้อนไปในราคาหุ้นไม่หมด เมื่อผลประกอบการออกมาไม่ดีตลาดหุ้นในสหรัฐจึงปรับตัวลง
“ในส่วนของประเทศไทยเองในส่วนของผลประกอบการไตรมาสที่4/51 น่าจะสะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว อย่างไรก็ตามคงต้องดูทิศทางของตลาดหุ้นในสหรัฐว่าจะส่งผลกระทบในเชิงลบกับตลาดหุ้นไทยมากน้อยแค่ไหน” นายสุทยุต กล่าว

นายสุทยุต กล่าวเสริมว่า ตลาดหุ้นไทยต้องลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิมก่อนและจุดนั้นนักลงทุนคงจะดูกันอีกครั้งว่ารับอยู่หรือไม่ แม้ว่ามองว่าเศรษฐกิจจริงจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี2552 นี้ ดังนั้นตลาดหุ้นซึ่งเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจจริงอยู่ประมาณ 6-9 เดือน ก็น่าจะฟื้นตัวได้ก่อน ดังนั้นในช่วงครึ่งแรกของปี2552 จึงเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจจริงจะส่งสัญญาณฟื้นตัวแต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งและยังฟื้นไม่จริงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะ ดังนั้นการปรับตัวขึ้นของหุ้นเองก็จะไม่ใช่การปรับตัวขึ้นที่หวือหวาและอาจจะมีความผันผวนอยู่บ้าง ดังนั้นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนจะควรเข้าซื้อเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging) มากกว่า

“เราคงบอกไม่ได้ว่าจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นไทยอยู่ตรงไหน แต่ที่ระดับต่ำกว่า 400 จุด ถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจ เพราะราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมามากแล้ว สำหรับกองทุนหุ้นของบลจ.กรุงไทยเองเราเน้นลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องเป็นหลักในช่วงนี้ และไม่ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีสภาพคล่องเลย เพราะไม่เช่นนั้นกองทุนจะมีปัญหาในการขายทำกำไรหุ้นออกมาได้ ซึ่งตอนนี้บริษัทกำลังของมติจากผู้ถือหน่วยเพื่อให้กองทุนหุ้นที่ยังไม่มีนโยบายใช้อนุพันธ์มาช่วยป้องกันความเสี่ยง ให้สามารถใช้อนุพันธ์เข้ามาใช้ในการบริหารกองทุนได้ แต่กองไหนที่ยังใช้ไม่ได้เราก็ใช้วิธีการขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงไปก่อน” ผู้จัดการ ฝ่ายลงทุน - ตราสารทุน กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น