คาดการณ์ราคาทองคำไตรมาสแรกปีฉลู ไม่เกิน 14,000 บาท ร้านทองชี้ทั้งปืหนูที่ผ่านมา ยอดขายตก 30-40% จากวิกฤตเศรษฐกิจและราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้น ย้ำเงินต้องเย็นพอถึงจะลงทุนในทองและสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ ล่าสุดร่วมมือกับ TFEX เตรียมร่วมวงเป็นตัวแทนซื้อขายโกลด์ ฟิวเจอร์สแล้วหลายแห่ง ขณะที่ผู้จัดการกองทุน ระบุทองยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในระยะยาว ส่วนการซื้อขายล่วงหน้า ผู้สนใจต้องทำการบ้านให้ถี่ถ้วน
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ และผู้บริหารห้างทองเลี่ยงเส็งเฮง เปิดเผยถึงภาวะราคาทองคำในปีที่ผ่านมาว่า โดยภาพรวมแล้วการซื้อขายทองคำปี2551 แย่กว่าปี 2550 คาดว่ายอดขายตกลงประมาณ 30-40% อันเนื่องมาจากราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้เงินโบนัสของพนักงานบริษัทและโรงงานแทบไม่มีออกมาจึงทำให้กำลังซื้อในส่วนลดลงตามไปด้วย โดยบางแห่งถึงกับต้องว่างงาน และต้องเก็บเงินที่ได้รับไว้จับจ่ายใช้สอยในเรื่องที่จำเป็น
“ประชาชนส่วนใหญ่ที่ซื้อทองจะเป็นคนทำงาน ดังนั้นเงินเดือนที่ได้รับส่วนมากต้องนำไปใช้จ่ายในด้านต่างๆ และเมื่อบริษัทมีผลประกอบการดีก็จะได้รับโบนัส ซึ่งเงินตรงนี้บางคนก็ฝากไว้กับแบงก์ทั้งหมด บางคนก็นำมาจ่ายซื้อหาอะไรต่างๆ รวมทั้งทอง เพราะเป็นเงินก้อนใหญ่ เห็นได้จากร้านทองย่านอยุธยา แถวนิคมอุตสาหกรรมพวกนี้เดือดร้อนเพราะจากเดิมเคยมียอดขายที่เป็นประจำ แต่เมื่อปิดโรงงานยอดขายเหล่านี้ก็หายไปด้วย”
ส่วนทองคำแท่งนั้น นายพิชญา กล่าวว่า ไม่ได้ดีขึ้นไปจากเดิมมากนัก แม้ช่วงที่ผ่านมาราคามีการปรับตัวขึ้นไปสูงจนหลายคนนำเงินที่เก็บไว้กับธนาคาร ถอนมาลงทุนในทองคำแทนจริงแต่ก็เพียงแค่ระยะหนึ่ง อีกทั้งกลุ่มคนที่มีเงินมากและเพียงพอสำหรับซื้อทองเก็บได้จริงก็ยังมีเพียงส่วนน้อย นอกจากนี้ที่ผ่านมาหากจะซื้อทองแท่งเพื่อลงุนแล้ว มองว่าตอนที่ราคาอยู่ที่ระดับ 12,000 บาท เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าลงทุน
“ตอนนี้ทั่วโลกอะไรต่ออะไรก็ปรับตัวลดลงหมด ไม่ว่าจะเป็นทองคำ น้ำมัน หรือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้แต่พวกกองทุนเฮดจ์ฟันด์เองก็ขาดทุนทุน เพราะปั่นราคาไม่ถูกตามที่คาดหวังไว้ จนต้องมีการระมัดระวังตัวมากขึ้น บางแห่งลูกค้าก็เริ่มไถ่ถอนเงินคืนเพราะไม่มั่นใจ”
สำหรับปี 2552 โดยในช่วงไตรมาสแรกนั้น เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำน่าจะปรับตัวสูงสุดอยู๋ที่ประมาณ 14,000 บาท หรือลดลงไม่ถึงระดับราคาที่คาดการณ์ไว้ เพราะช่วงนี้ยังไม่เหตุหรือปัจจัยอะไรให้น่าจูงใจเข้ามาลงทุนมากนัก โดยเฉพาะการลงทุนในน้ำมันเนื่องจากในปีที่ผ่านมาราคามีการปรับตัวขึ้นลงไปแล้วกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้กลุ่มโอเปกจะมีการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อกระตุ้นราคา แต่ก็ไม่มีสัญญาณบวกสะท้อนกลับมาเลย
ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ น่าจะมีผลที่รุนแรงตามมาอีกเป็นระลอก เพราะจากข้อมูลด้านเศรษฐกิจต่างๆที่ประกาศออกมา บางส่วนเมื่อทราบแล้วรู้สึกเหมือนเป็นการปกปิดตัวเลขที่แท้จริงอยู่ โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ ดังนั้นเรื่องนี้จึงอยากจะขอให้ภาครัฐไม่ควรปกปิด แต่ควรให้ข้อมูลที่แท้จริงเพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถวางแผนรับมื่อในการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างดี
ขณะที่เหตุผลว่าทำไมราคาทองคำจึงมีการปรับตัวลดงไม่มากนัก หากเปรียบเทียบกับราคาน้ำมัน และค่าเงินสหรัฐฯ นายพิชญา กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดจาก เมื่อราคาน้ำมันไม่ปรับตัวขึ้น และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทุกคนจึงหันนำเงินมาลงทุนในทองคำไว้ ทำให้ราคาของทองมีการทรงตัวที่สูงไม่ปรับตัวลดลงหรือปรับตัวเพิ่มขึ้นจนเกินไป ซึ่งต่อไปนี้จะเป็นอย่างนี้ไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าราคาน้ำมันจะเริ่มปรับตัวเพิ่ม ก็จะมีนักลงทุนบางราย โดยเฉพาะกลุ่มกองทุนเฮดจ์ฟันด์ทำการขายทองที่ถืออยู่เพื่อหันกลับไปลงทุนทองคำอีกรอบ
“ต้องขอย้ำว่า สำหรับคนที่ต้องการหันมาลงทุนในทองคำ เพื่อรับผลกำไรคุณต้องเป็นคนที่เงินเย็นมากพอ หากมีเงินเก้บสะสมไว้เยอะก็ควรกระจายการลงทุนให้ถูก 50% เก็บไว้ อีก 50% ซึ่งทองคำเป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งมีที่มูลค่าและโอกาส แต่สำหรับคนที่ต้องการลงทุนแค่ระยะเวลา 1 – 3 เดือนอันนี้ไม่ดี คุณอาจขาดทุน เพราะราคาทองทุกวันนี้มีการปรับตัวขึ้นลงที่รวดเร็ว”
นอกจากนี้ ในกรณีของตลาดอนุพันธ์ (TFEX) เรื่องการเปิดซื้อขายทองคำล่วงหน้า (โกลด์ ฟิวเจอร์ส) นั้น นายพิชญา กล่าวว่า ตอนนี้ TFEX ได้เข้ามาหารือกับทางสมาคม เพื่อชักชวนให้ร้านทองเข้ามามีส่วนร่วมให้บริการซื้อขายแล้ว โดยเรื่องนี้เรามีความจำเป็นต้องร่วมมือด้วย เพื่อสร้างราคาที่มีเสถียรภาพ และทำให้การดำเนินธุรกิจของร้านเป็นไปอย่างครบวงจร แม้ว่าหากมีการซื้อขายเกิดขึ้นจะส่งผลต่อยอดขายของร้านไปด้วยก็ตาม
ส่วนค่าฟีหรือค่าธรรมเนียมในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษายังไม่มีการสรุปออกมา และเท่าที่ทราบขณะนี้มีสมาชิกทั้งจากร้านทองและบรรดาโบรกเกอร์(บล.) ที่พร้อมจะให้บริการในเรื่องดังกล่าวประมาณ 30-40 แห่งแล้ว แต่ส่วนตัวต้องขอย้ำถึงผู้ลงทุนทุกคนว่าจำเป็นจะต้องศึกษาวิธีลงทุนในเรื่องดังกล่าวให้ดี
ทั้งนี้เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ในช่วงแรกน่าจะมีลูกค้าเข้ามาลงทุนเพียงบางส่วนโดยเริ่มต้นน่าจะมาจากลูกค้าบรรดาโบรกเกอร์ที่มีการทำธุรกรรมร่วมกันอยู่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการนั้นคือ ใบสั่งซื้อปลอม เพราะจากกรณีที่หุ้น SECC มีปัญหาเกิดขึ้นในขณะนี้ หากปล่อยให้เกิดกับโกลด์ฟิวเจอร์นี้แล้วอาจมีผลกระทบที่มากกว่า ดังนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรมีแผนหรือมาตรการรับมือ ซึ่งจะดีกว่ามีเพียงการค้ำประกันแค่อย่างเดียว
ด้านนายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวถึงการลงทุนในทองคำว่า ราคาทองคำในช่วงนี้ไม่ได้ปรับตัวลดลงมาตามราคาน้ำมันมากเท่าไร ดังนั้นสินทรัพย์ประเภทนี้ หากต้องการลงทุนยังมีความน่าสนใจอยู่ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการถือเก็บไว้ในระยะยาว ส่วนในระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคา และอาจทำให้ขาดทุนได้
“ทองคำยังมีความน่าสนใจ ราคาเปลี่ยนแปลงไม่เยอะ แต่หากเข้าเก็งกำไรระยะสั้นอาจขาดทุนได้ ส่วนระยะยาวมองว่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะเป็นการกระจายการลงทุนที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง”
สำหรับการลงทุนในระยะยาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี กล่าวว่าหากต้องเลือกระหว่างการลงทุนในทองคำจริง หรือเข้าลงทุนโกลด์ฟิวเจอร์ส หรือกองทุนทองคำแล้ว ถ้านักลงทุนต้องการถือครองมากกว่า2ปีขึ้นไป การลงทุนโดยเข้าซื้อทองคำจริงและนำไปเก็บไว้ในธนาคารพาณิชย์เป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่า แต่ถ้าต้องการลงทุนภายในระยเวลาที่กำหนด เช่น 3 – 6 เดือน หรือตามภาวะตลาดการลงทุนในหลักทรัพย์อีก 2ประเภท จะเหมาะสมกว่าเพราะใช้เงินลงทุนที่ไม่มาก
“กองทุนทองคำ และ โกลด์ฟิวเจอร์ส นั้นใกล้เคียงกัน คือมีระยะเวลาที่ลงทุนไม่ยาวนานมาก ไม่ใช้ระยะเวลาหลายปี กองทุนก็จะมีผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่คอยดูแลเงินของเราไว้ ผลตอบแทนที่จะได้รับก็จะเป็นไปตามภาวะราคาทองคำที่มีการเคลื่อนไหวในรอบที่กำหนด แต่โกลด์ ฟิวเจอร์สจะมีความสะดวกกว่าในเรื่องการซื้อขาย เพราะสามารถเปิดรับซื้อ และขายได้ในวันต่อวัน”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนี้ จะเป็นโอกาสของทองคำเช่นกัน เนื่องจากคนยังไม่กล้าที่จะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ และปรารถนาที่จะเห็นสินทรัพย์ที่แท้จริง มีมูลค่าคงที่หรือเปลี่ยนแปลงไม่มากมาอยู่ในมือของตนเอง นอกจากนี้การลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สผู้สนใจต้องทำการศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ดีก่อน และต้องยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ เพราะเรื่องดังกล่าวมีขึ้น และมีลง หรือมีกำไร ย่อมมีการขาดทุนบ้าง ถ้ายังไม่เข้าใจดี ก็ยังไม่ควรตัดสินใจเข้าไปลงทุน
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ และผู้บริหารห้างทองเลี่ยงเส็งเฮง เปิดเผยถึงภาวะราคาทองคำในปีที่ผ่านมาว่า โดยภาพรวมแล้วการซื้อขายทองคำปี2551 แย่กว่าปี 2550 คาดว่ายอดขายตกลงประมาณ 30-40% อันเนื่องมาจากราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้เงินโบนัสของพนักงานบริษัทและโรงงานแทบไม่มีออกมาจึงทำให้กำลังซื้อในส่วนลดลงตามไปด้วย โดยบางแห่งถึงกับต้องว่างงาน และต้องเก็บเงินที่ได้รับไว้จับจ่ายใช้สอยในเรื่องที่จำเป็น
“ประชาชนส่วนใหญ่ที่ซื้อทองจะเป็นคนทำงาน ดังนั้นเงินเดือนที่ได้รับส่วนมากต้องนำไปใช้จ่ายในด้านต่างๆ และเมื่อบริษัทมีผลประกอบการดีก็จะได้รับโบนัส ซึ่งเงินตรงนี้บางคนก็ฝากไว้กับแบงก์ทั้งหมด บางคนก็นำมาจ่ายซื้อหาอะไรต่างๆ รวมทั้งทอง เพราะเป็นเงินก้อนใหญ่ เห็นได้จากร้านทองย่านอยุธยา แถวนิคมอุตสาหกรรมพวกนี้เดือดร้อนเพราะจากเดิมเคยมียอดขายที่เป็นประจำ แต่เมื่อปิดโรงงานยอดขายเหล่านี้ก็หายไปด้วย”
ส่วนทองคำแท่งนั้น นายพิชญา กล่าวว่า ไม่ได้ดีขึ้นไปจากเดิมมากนัก แม้ช่วงที่ผ่านมาราคามีการปรับตัวขึ้นไปสูงจนหลายคนนำเงินที่เก็บไว้กับธนาคาร ถอนมาลงทุนในทองคำแทนจริงแต่ก็เพียงแค่ระยะหนึ่ง อีกทั้งกลุ่มคนที่มีเงินมากและเพียงพอสำหรับซื้อทองเก็บได้จริงก็ยังมีเพียงส่วนน้อย นอกจากนี้ที่ผ่านมาหากจะซื้อทองแท่งเพื่อลงุนแล้ว มองว่าตอนที่ราคาอยู่ที่ระดับ 12,000 บาท เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าลงทุน
“ตอนนี้ทั่วโลกอะไรต่ออะไรก็ปรับตัวลดลงหมด ไม่ว่าจะเป็นทองคำ น้ำมัน หรือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้แต่พวกกองทุนเฮดจ์ฟันด์เองก็ขาดทุนทุน เพราะปั่นราคาไม่ถูกตามที่คาดหวังไว้ จนต้องมีการระมัดระวังตัวมากขึ้น บางแห่งลูกค้าก็เริ่มไถ่ถอนเงินคืนเพราะไม่มั่นใจ”
สำหรับปี 2552 โดยในช่วงไตรมาสแรกนั้น เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำน่าจะปรับตัวสูงสุดอยู๋ที่ประมาณ 14,000 บาท หรือลดลงไม่ถึงระดับราคาที่คาดการณ์ไว้ เพราะช่วงนี้ยังไม่เหตุหรือปัจจัยอะไรให้น่าจูงใจเข้ามาลงทุนมากนัก โดยเฉพาะการลงทุนในน้ำมันเนื่องจากในปีที่ผ่านมาราคามีการปรับตัวขึ้นลงไปแล้วกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้กลุ่มโอเปกจะมีการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อกระตุ้นราคา แต่ก็ไม่มีสัญญาณบวกสะท้อนกลับมาเลย
ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ น่าจะมีผลที่รุนแรงตามมาอีกเป็นระลอก เพราะจากข้อมูลด้านเศรษฐกิจต่างๆที่ประกาศออกมา บางส่วนเมื่อทราบแล้วรู้สึกเหมือนเป็นการปกปิดตัวเลขที่แท้จริงอยู่ โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ ดังนั้นเรื่องนี้จึงอยากจะขอให้ภาครัฐไม่ควรปกปิด แต่ควรให้ข้อมูลที่แท้จริงเพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถวางแผนรับมื่อในการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างดี
ขณะที่เหตุผลว่าทำไมราคาทองคำจึงมีการปรับตัวลดงไม่มากนัก หากเปรียบเทียบกับราคาน้ำมัน และค่าเงินสหรัฐฯ นายพิชญา กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดจาก เมื่อราคาน้ำมันไม่ปรับตัวขึ้น และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทุกคนจึงหันนำเงินมาลงทุนในทองคำไว้ ทำให้ราคาของทองมีการทรงตัวที่สูงไม่ปรับตัวลดลงหรือปรับตัวเพิ่มขึ้นจนเกินไป ซึ่งต่อไปนี้จะเป็นอย่างนี้ไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าราคาน้ำมันจะเริ่มปรับตัวเพิ่ม ก็จะมีนักลงทุนบางราย โดยเฉพาะกลุ่มกองทุนเฮดจ์ฟันด์ทำการขายทองที่ถืออยู่เพื่อหันกลับไปลงทุนทองคำอีกรอบ
“ต้องขอย้ำว่า สำหรับคนที่ต้องการหันมาลงทุนในทองคำ เพื่อรับผลกำไรคุณต้องเป็นคนที่เงินเย็นมากพอ หากมีเงินเก้บสะสมไว้เยอะก็ควรกระจายการลงทุนให้ถูก 50% เก็บไว้ อีก 50% ซึ่งทองคำเป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งมีที่มูลค่าและโอกาส แต่สำหรับคนที่ต้องการลงทุนแค่ระยะเวลา 1 – 3 เดือนอันนี้ไม่ดี คุณอาจขาดทุน เพราะราคาทองทุกวันนี้มีการปรับตัวขึ้นลงที่รวดเร็ว”
นอกจากนี้ ในกรณีของตลาดอนุพันธ์ (TFEX) เรื่องการเปิดซื้อขายทองคำล่วงหน้า (โกลด์ ฟิวเจอร์ส) นั้น นายพิชญา กล่าวว่า ตอนนี้ TFEX ได้เข้ามาหารือกับทางสมาคม เพื่อชักชวนให้ร้านทองเข้ามามีส่วนร่วมให้บริการซื้อขายแล้ว โดยเรื่องนี้เรามีความจำเป็นต้องร่วมมือด้วย เพื่อสร้างราคาที่มีเสถียรภาพ และทำให้การดำเนินธุรกิจของร้านเป็นไปอย่างครบวงจร แม้ว่าหากมีการซื้อขายเกิดขึ้นจะส่งผลต่อยอดขายของร้านไปด้วยก็ตาม
ส่วนค่าฟีหรือค่าธรรมเนียมในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษายังไม่มีการสรุปออกมา และเท่าที่ทราบขณะนี้มีสมาชิกทั้งจากร้านทองและบรรดาโบรกเกอร์(บล.) ที่พร้อมจะให้บริการในเรื่องดังกล่าวประมาณ 30-40 แห่งแล้ว แต่ส่วนตัวต้องขอย้ำถึงผู้ลงทุนทุกคนว่าจำเป็นจะต้องศึกษาวิธีลงทุนในเรื่องดังกล่าวให้ดี
ทั้งนี้เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ในช่วงแรกน่าจะมีลูกค้าเข้ามาลงทุนเพียงบางส่วนโดยเริ่มต้นน่าจะมาจากลูกค้าบรรดาโบรกเกอร์ที่มีการทำธุรกรรมร่วมกันอยู่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการนั้นคือ ใบสั่งซื้อปลอม เพราะจากกรณีที่หุ้น SECC มีปัญหาเกิดขึ้นในขณะนี้ หากปล่อยให้เกิดกับโกลด์ฟิวเจอร์นี้แล้วอาจมีผลกระทบที่มากกว่า ดังนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรมีแผนหรือมาตรการรับมือ ซึ่งจะดีกว่ามีเพียงการค้ำประกันแค่อย่างเดียว
ด้านนายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวถึงการลงทุนในทองคำว่า ราคาทองคำในช่วงนี้ไม่ได้ปรับตัวลดลงมาตามราคาน้ำมันมากเท่าไร ดังนั้นสินทรัพย์ประเภทนี้ หากต้องการลงทุนยังมีความน่าสนใจอยู่ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการถือเก็บไว้ในระยะยาว ส่วนในระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคา และอาจทำให้ขาดทุนได้
“ทองคำยังมีความน่าสนใจ ราคาเปลี่ยนแปลงไม่เยอะ แต่หากเข้าเก็งกำไรระยะสั้นอาจขาดทุนได้ ส่วนระยะยาวมองว่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะเป็นการกระจายการลงทุนที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง”
สำหรับการลงทุนในระยะยาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี กล่าวว่าหากต้องเลือกระหว่างการลงทุนในทองคำจริง หรือเข้าลงทุนโกลด์ฟิวเจอร์ส หรือกองทุนทองคำแล้ว ถ้านักลงทุนต้องการถือครองมากกว่า2ปีขึ้นไป การลงทุนโดยเข้าซื้อทองคำจริงและนำไปเก็บไว้ในธนาคารพาณิชย์เป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่า แต่ถ้าต้องการลงทุนภายในระยเวลาที่กำหนด เช่น 3 – 6 เดือน หรือตามภาวะตลาดการลงทุนในหลักทรัพย์อีก 2ประเภท จะเหมาะสมกว่าเพราะใช้เงินลงทุนที่ไม่มาก
“กองทุนทองคำ และ โกลด์ฟิวเจอร์ส นั้นใกล้เคียงกัน คือมีระยะเวลาที่ลงทุนไม่ยาวนานมาก ไม่ใช้ระยะเวลาหลายปี กองทุนก็จะมีผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่คอยดูแลเงินของเราไว้ ผลตอบแทนที่จะได้รับก็จะเป็นไปตามภาวะราคาทองคำที่มีการเคลื่อนไหวในรอบที่กำหนด แต่โกลด์ ฟิวเจอร์สจะมีความสะดวกกว่าในเรื่องการซื้อขาย เพราะสามารถเปิดรับซื้อ และขายได้ในวันต่อวัน”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนี้ จะเป็นโอกาสของทองคำเช่นกัน เนื่องจากคนยังไม่กล้าที่จะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ และปรารถนาที่จะเห็นสินทรัพย์ที่แท้จริง มีมูลค่าคงที่หรือเปลี่ยนแปลงไม่มากมาอยู่ในมือของตนเอง นอกจากนี้การลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สผู้สนใจต้องทำการศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ดีก่อน และต้องยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ เพราะเรื่องดังกล่าวมีขึ้น และมีลง หรือมีกำไร ย่อมมีการขาดทุนบ้าง ถ้ายังไม่เข้าใจดี ก็ยังไม่ควรตัดสินใจเข้าไปลงทุน