ทองคำวิ่งไม่หยุด! โบรกเกอร์ชูปัญหาหลักดอลลาร์อ่อนค่าจัด กดดันเม็ดเงินโยกย้ายสินทรัพย์มุ่งเข้าทองคำ และตลาดหุ้นในเอเชีย ชี้ หากสหรัฐฯยังไม่แก้ไขค่าเงิน แนวโน้มแตะ 1,550 เหรียญ/ทรอยออนซ์ มีสูง พร้อมมองระยะสั้นต้นสัปดาห์นี้มีโอกาสผันผวนปรับลงได้บ้าง แต่ภาพรวมยังขยับตัวขึ้นต่อ เตือนนักลงทุนใจเย็น ค่อยเข้าเก็บเมื่อราคาลด โดยแนวโน้มระยะยาวช่วงปลายปี มีลุ้นอาจได้เห็นทองคำแท่งแตะ 23,000 บาท ส่วนรูปพรรณมาแปลก จากเดิมยอดขายหดตัว 30-40% ต่อปี แต่ช่วงสงกรานต์คนไทยแห่กันซื้อคึกคัก คาดจากเศรษฐกิจฟื้นตัว หนุนกำลังซื้อประชาชนมีเพิ่ม
นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ฟิวเจอร์ จำกัด ในกลุ่มแม่ทองสุก กล่าวถึงการปรับตัวของราคาทองคำในปัจจุบัน ว่า ปัจจัยสำคัญในขณะนี้ที่มีผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาก คือ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นจากการถูกปรับลดอัตราเครดิต จากสถานะปกติ เป็นสถานะติดลบ ทำให้ราคาขึ้นไปทำสถิติใหม่ยืนเหนือ 1,500 เหรียญสหรัฐฯ/ทรอยออนซ์ โดยในประเทศไทย แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจนหลุด 30 บาท/เหรียญสหรัฐฯ แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นการปรับตัวของราคาทองคำได้ เห็นได้จากการปรับตัวของราคาซื้อขายทองคำแท่งในประเทศที่อยู่ในระดับรับซื้อประมาณ 21,200 บาท และขาย 21,300 บาท
“ตอนนี้ราคทองผ่าแนวต้านที่ 1,500 เหรียญไปแล้ว เป้าต่อไปที่กำลังจับตา คือ แนวต้านที่1,550-1,600 เหรียญ ที่มีโอกาสเช่นกัน แต่ในระยะสั้นจากราคาทองคำที่ปรับขึ้นมามาก เราพบว่าเริ่มมีแรงเทขายทำกำไรออกมาเช่นกัน จึงทำให้ราคาทองในช่วงต่อจากนี้เกิดความผันผวน ซึ่งนักลงทุนไม่ควรประมาท และทางเอ็มทีเอส ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเข้าซื้อในช่วงนี้ แต่แนะนำให้ขายทำกำไรในทองที่มีแล้ว และรอเข้าซื้อเมื่อราคาทองปรับตัวลงหลุด 1,500 เหรียญ มาอยู่แถวประมาณ 1,480 เหรียญมากกว่า ขณะที่การลงทุรนในโกลด์ฟิวเจอร์ส ก็มองว่าผู้ลงทุนสามารถเปิดสถานะ Short ระยะสั้นเพื่อทำกำไรได้ แต่ไม่ควรถือสัญญานานเกิน 3-4 วัน”
ทั้งนี้ เชื่อว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯไม่หาวิธีแก้ไขปัญหาการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็จะทำให้ราคาทองยังปรับตัวสูงขึ้นต่อไป เนื่องอัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวขึ้นไปมาก ทำให้นักลงทุนที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯอยู่ ทำการแปลงสินทรัพย์มุ่งเข้าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือมีความเสี่ยงน้อยกว่าอย่างทองคำมากขึ้น โดยต่อจากนี้ต้องจับตาดูมาตรการต่างๆของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่า จะเป็นเช่นไร ทั้งในเรื่องมาตรการ QE2 ที่ยังต้องดำเนินการต่อเนื่อง และหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศสูงขึ้น และมาตรการ QE3
“ตอนนี้นอกจากทองคำแล้ว เราเห็นว่า เริ่มมีเม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้ามาในเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย ซึ่งดัชนีได้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากจนทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน”
ขณะที่ ปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยุโรปเอง ก็ยังมีปัญหาอยู่ จึงทำให้เริ่มมีนักวิเคราะห์หลายรายมองว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรป ที่ผ่านมา ไม่มีความชัดเจน ยิ่งทำให้ความต้องการโยกย้ายเม็ดเงินลงทุนไปสู่สินทรัพย์ประเภทอื่น แหล่งอื่น และทองคำมีมากขึ้น
“สัปดาห์นี้ (25-29 เม.ย.) ราคาทองคำมีโอกาสผันผวนและปรับลดลงได้ ขณะเดียวกัน หากปัญหาต่างๆ ยังลุกลามเราก็มีโอกาสเห็นราคาขยับขึ้นไปแตะถึง 1,525 เหรียญ/ทรอยออนซ์เช่นกัน และในระยะไกลนักวิเคราะห์หลายราย ก็ยังเชื่อว่า ราคาทองมีโอกาสไปได้ถึง 1,600 เหรียญ ซึ่งราคาทองในประเทศน่าจะขยับขึ้นไปถึง 23,000 บาทได้”
นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฟากการซื้อขายทองคำรูปพรรณนั้น ต้องยอมรับว่า เมื่อราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นก็มีผลต่อยอดขายมาก โดยมีการปรับลดลง 30-40% ต่อปี อย่างไรก็ตามในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา กลับพบว่า มีประชาชนให้ความสนใจเข้ามาซื้อทองคำรูปพรรณมากขึ้นกว่าช่วงเดิมในอดีต ทำให้ยอดขายทองรูปพรรณในช่วงเวลาดังกล่าวดีขึ้นมากกว่าที่ผ่านมา จุดนี้แสดงให้เห็นว่าเศรษบกิจของไทย ปรับตัวดีขึ้นจริง เพราะประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นสังเกตได้จากราคาทองคำที่สูง แต่ยังได้รับความสนใจนั่นเอง
ขณะเดียวกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศก็ปรับตัวสูงขึ้น และ ธปท.ก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้คนหันมาซื้อทองคำสะสมด้วยเช่นกัน แต่ในส่วนการขายทองคำเพื่อทำกำไรนั้น ยืนยันว่าส่วนมากยังเป็นการลงทุนและการขายทำกำไรในทองคำแท่ง มากกว่าทองรูปพรรณ
ด้าน นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บมจ.โกลเบล็กโฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ กล่าวว่า ราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือระดับแนวต้านจิตวิทยาการลงทุนที่ระดับ 1,500 เหรียญ/ทรอยออนซ์ ได้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะมีการปรับย่อลงต่ำกว่าระดับดังกล่าวอยู่บ้างในบางเวลาก็ตาม โดยแรงหนุนสำคัญอยู่ที่การทรุดตัวลงอย่างหนักของ Dollar Index จากความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่ 0.00-0.25% และประกาศปกป้องการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 2 ของตัวเองต่อไป ซึ่งทำให้ธุรกรรม Dollar Carry Trade โดยการกู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำ มาลงทุนในสกุลเงินหรือสินทรัพย์ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กลับมาเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดการเงินทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ซึ่งทองคำที่มีความสัมพันธ์เชิงลบกับ Dollar Index อย่างใกล้ชิดจึงได้รับอานิสงส์เชิงบวกนี้ไปเต็มๆ
“ปัญหาในตะวันออกกลาง วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป และปัญหาหลังอย่างการการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองปรับตัวขึ้นไปมาก ระยะสั้นเราเชื่อว่ามีโอกาสได้เห็นทองคำในประเทศแตะ 21,900 -22,000 บาท ส่วนระยะไกลหรือช่วงปลายปี ก็น่าจะมีโอกาสได้เห็นราคาทองคำแตะ23,000 บาทได้เช่นกัน”
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำวันนี้ (25 เม.ย.) นายณัฐพล กล่าวว่า ให้พิจารณาที่จุดเปลี่ยนสำคัญแถวบริเวณ 1,495 เหรียญ/ทรอยออนซ์ เป็นหลัก หากเปิดมาแล้วยืนเหนือได้ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อทดสอบขอบบนของกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,515 เหรียญ แต่ถ้าเปิดมาแล้วต่ำกว่า ราคาจะพักฐานในระยะสั้นทดสอบกรอบล่างแถวบริเวณ 1,475-1,485 เหรียญ ซึ่งถ้าหากพิจารณาจากข้อมูลทางสถิติในช่วงหลังเทศกาลอีสเตอร์ และปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดทองคำช่วงนี้ ถือว่ายังให้น้ำหนักไปในทางบวกมากกว่าทางลบ ไม่ว่าจะเป็น Dollar Index และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ทรุดตัวลง, ราคาน้ำมันดิบที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง, และภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก
เพราะฉะนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ราคาทองคำจะขยับขึ้นเล่นในทางบวกไปก่อนช่วงต้นสัปดาห์ เพื่อลุ้นเก็งกำไรผลการประชุมเฟดในช่วงกลางสัปดาห์ แต่การเคลื่อนไหวในช่วงปลายสัปดาห์ยังเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะผลการประชุมเฟดที่เริ่มเสียงแตกในระยะหลัง และการเปิดเผยตัวเลขประมาณการ GDP ไตรมาส 1/2554 ครั้งที่ 1 ของสหรัฐฯที่มีแนวโน้มออกมาสดใส ตามการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงนั้นที่ออกมาค่อนข้างดี อาจเป็นปัจจัยสอดแทรกที่ทำให้ Dollar Index ฟื้นตัวกลับขึ้นมาในลำดับถัดไปได้
โดยในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ยังคงคำแนะนเดิมคือ ให้พิจารณที่จุดถอยบริเวณ 1,495 เหรียญเป็นหลัก หากร่วงหลุดลงมาให้ตัดใจขายทำกำไรหรือตัดขาดทุนออกมาก่อน แล้วเปิด Short Gold Futures เพื่อเก็งกำไรระยะสั้นหรือรออยู่เฉยๆ (Wait &See) หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ แล้วซื้อกลับเมื่อราคาปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ระดับ1,475-1,485 เหรียญ แต่ถ้าราคายังยืนเหนือ 1,495 ได้ให้เก็งกำไรฝั่งซื้อต่อไป คาดการณ์กรอบการลงทุนที่ 1,485-1,520 เหรียญ หรือ 20,850-21,450 บาท/บาททอง
นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ฟิวเจอร์ จำกัด ในกลุ่มแม่ทองสุก กล่าวถึงการปรับตัวของราคาทองคำในปัจจุบัน ว่า ปัจจัยสำคัญในขณะนี้ที่มีผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาก คือ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นจากการถูกปรับลดอัตราเครดิต จากสถานะปกติ เป็นสถานะติดลบ ทำให้ราคาขึ้นไปทำสถิติใหม่ยืนเหนือ 1,500 เหรียญสหรัฐฯ/ทรอยออนซ์ โดยในประเทศไทย แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจนหลุด 30 บาท/เหรียญสหรัฐฯ แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นการปรับตัวของราคาทองคำได้ เห็นได้จากการปรับตัวของราคาซื้อขายทองคำแท่งในประเทศที่อยู่ในระดับรับซื้อประมาณ 21,200 บาท และขาย 21,300 บาท
“ตอนนี้ราคทองผ่าแนวต้านที่ 1,500 เหรียญไปแล้ว เป้าต่อไปที่กำลังจับตา คือ แนวต้านที่1,550-1,600 เหรียญ ที่มีโอกาสเช่นกัน แต่ในระยะสั้นจากราคาทองคำที่ปรับขึ้นมามาก เราพบว่าเริ่มมีแรงเทขายทำกำไรออกมาเช่นกัน จึงทำให้ราคาทองในช่วงต่อจากนี้เกิดความผันผวน ซึ่งนักลงทุนไม่ควรประมาท และทางเอ็มทีเอส ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเข้าซื้อในช่วงนี้ แต่แนะนำให้ขายทำกำไรในทองที่มีแล้ว และรอเข้าซื้อเมื่อราคาทองปรับตัวลงหลุด 1,500 เหรียญ มาอยู่แถวประมาณ 1,480 เหรียญมากกว่า ขณะที่การลงทุรนในโกลด์ฟิวเจอร์ส ก็มองว่าผู้ลงทุนสามารถเปิดสถานะ Short ระยะสั้นเพื่อทำกำไรได้ แต่ไม่ควรถือสัญญานานเกิน 3-4 วัน”
ทั้งนี้ เชื่อว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯไม่หาวิธีแก้ไขปัญหาการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็จะทำให้ราคาทองยังปรับตัวสูงขึ้นต่อไป เนื่องอัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวขึ้นไปมาก ทำให้นักลงทุนที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯอยู่ ทำการแปลงสินทรัพย์มุ่งเข้าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือมีความเสี่ยงน้อยกว่าอย่างทองคำมากขึ้น โดยต่อจากนี้ต้องจับตาดูมาตรการต่างๆของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่า จะเป็นเช่นไร ทั้งในเรื่องมาตรการ QE2 ที่ยังต้องดำเนินการต่อเนื่อง และหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศสูงขึ้น และมาตรการ QE3
“ตอนนี้นอกจากทองคำแล้ว เราเห็นว่า เริ่มมีเม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้ามาในเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย ซึ่งดัชนีได้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากจนทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน”
ขณะที่ ปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยุโรปเอง ก็ยังมีปัญหาอยู่ จึงทำให้เริ่มมีนักวิเคราะห์หลายรายมองว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรป ที่ผ่านมา ไม่มีความชัดเจน ยิ่งทำให้ความต้องการโยกย้ายเม็ดเงินลงทุนไปสู่สินทรัพย์ประเภทอื่น แหล่งอื่น และทองคำมีมากขึ้น
“สัปดาห์นี้ (25-29 เม.ย.) ราคาทองคำมีโอกาสผันผวนและปรับลดลงได้ ขณะเดียวกัน หากปัญหาต่างๆ ยังลุกลามเราก็มีโอกาสเห็นราคาขยับขึ้นไปแตะถึง 1,525 เหรียญ/ทรอยออนซ์เช่นกัน และในระยะไกลนักวิเคราะห์หลายราย ก็ยังเชื่อว่า ราคาทองมีโอกาสไปได้ถึง 1,600 เหรียญ ซึ่งราคาทองในประเทศน่าจะขยับขึ้นไปถึง 23,000 บาทได้”
นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฟากการซื้อขายทองคำรูปพรรณนั้น ต้องยอมรับว่า เมื่อราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นก็มีผลต่อยอดขายมาก โดยมีการปรับลดลง 30-40% ต่อปี อย่างไรก็ตามในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา กลับพบว่า มีประชาชนให้ความสนใจเข้ามาซื้อทองคำรูปพรรณมากขึ้นกว่าช่วงเดิมในอดีต ทำให้ยอดขายทองรูปพรรณในช่วงเวลาดังกล่าวดีขึ้นมากกว่าที่ผ่านมา จุดนี้แสดงให้เห็นว่าเศรษบกิจของไทย ปรับตัวดีขึ้นจริง เพราะประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นสังเกตได้จากราคาทองคำที่สูง แต่ยังได้รับความสนใจนั่นเอง
ขณะเดียวกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศก็ปรับตัวสูงขึ้น และ ธปท.ก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้คนหันมาซื้อทองคำสะสมด้วยเช่นกัน แต่ในส่วนการขายทองคำเพื่อทำกำไรนั้น ยืนยันว่าส่วนมากยังเป็นการลงทุนและการขายทำกำไรในทองคำแท่ง มากกว่าทองรูปพรรณ
ด้าน นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บมจ.โกลเบล็กโฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ กล่าวว่า ราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือระดับแนวต้านจิตวิทยาการลงทุนที่ระดับ 1,500 เหรียญ/ทรอยออนซ์ ได้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะมีการปรับย่อลงต่ำกว่าระดับดังกล่าวอยู่บ้างในบางเวลาก็ตาม โดยแรงหนุนสำคัญอยู่ที่การทรุดตัวลงอย่างหนักของ Dollar Index จากความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่ 0.00-0.25% และประกาศปกป้องการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 2 ของตัวเองต่อไป ซึ่งทำให้ธุรกรรม Dollar Carry Trade โดยการกู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำ มาลงทุนในสกุลเงินหรือสินทรัพย์ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กลับมาเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดการเงินทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ซึ่งทองคำที่มีความสัมพันธ์เชิงลบกับ Dollar Index อย่างใกล้ชิดจึงได้รับอานิสงส์เชิงบวกนี้ไปเต็มๆ
“ปัญหาในตะวันออกกลาง วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป และปัญหาหลังอย่างการการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองปรับตัวขึ้นไปมาก ระยะสั้นเราเชื่อว่ามีโอกาสได้เห็นทองคำในประเทศแตะ 21,900 -22,000 บาท ส่วนระยะไกลหรือช่วงปลายปี ก็น่าจะมีโอกาสได้เห็นราคาทองคำแตะ23,000 บาทได้เช่นกัน”
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำวันนี้ (25 เม.ย.) นายณัฐพล กล่าวว่า ให้พิจารณาที่จุดเปลี่ยนสำคัญแถวบริเวณ 1,495 เหรียญ/ทรอยออนซ์ เป็นหลัก หากเปิดมาแล้วยืนเหนือได้ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อทดสอบขอบบนของกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,515 เหรียญ แต่ถ้าเปิดมาแล้วต่ำกว่า ราคาจะพักฐานในระยะสั้นทดสอบกรอบล่างแถวบริเวณ 1,475-1,485 เหรียญ ซึ่งถ้าหากพิจารณาจากข้อมูลทางสถิติในช่วงหลังเทศกาลอีสเตอร์ และปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดทองคำช่วงนี้ ถือว่ายังให้น้ำหนักไปในทางบวกมากกว่าทางลบ ไม่ว่าจะเป็น Dollar Index และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ทรุดตัวลง, ราคาน้ำมันดิบที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง, และภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก
เพราะฉะนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ราคาทองคำจะขยับขึ้นเล่นในทางบวกไปก่อนช่วงต้นสัปดาห์ เพื่อลุ้นเก็งกำไรผลการประชุมเฟดในช่วงกลางสัปดาห์ แต่การเคลื่อนไหวในช่วงปลายสัปดาห์ยังเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะผลการประชุมเฟดที่เริ่มเสียงแตกในระยะหลัง และการเปิดเผยตัวเลขประมาณการ GDP ไตรมาส 1/2554 ครั้งที่ 1 ของสหรัฐฯที่มีแนวโน้มออกมาสดใส ตามการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงนั้นที่ออกมาค่อนข้างดี อาจเป็นปัจจัยสอดแทรกที่ทำให้ Dollar Index ฟื้นตัวกลับขึ้นมาในลำดับถัดไปได้
โดยในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ยังคงคำแนะนเดิมคือ ให้พิจารณที่จุดถอยบริเวณ 1,495 เหรียญเป็นหลัก หากร่วงหลุดลงมาให้ตัดใจขายทำกำไรหรือตัดขาดทุนออกมาก่อน แล้วเปิด Short Gold Futures เพื่อเก็งกำไรระยะสั้นหรือรออยู่เฉยๆ (Wait &See) หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ แล้วซื้อกลับเมื่อราคาปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ระดับ1,475-1,485 เหรียญ แต่ถ้าราคายังยืนเหนือ 1,495 ได้ให้เก็งกำไรฝั่งซื้อต่อไป คาดการณ์กรอบการลงทุนที่ 1,485-1,520 เหรียญ หรือ 20,850-21,450 บาท/บาททอง