เอ็มทีเอสโกลด์ เชื่อ ทองปีนี้มีลุ้นแตะสูงสุดบาทละ 2.3 หมื่นบาท หลังทิศทางทองขาขึ้น มีความต้องการในตลาดโลกสูง คาดราคาทองพักฐานที่ 1,360-1,380 ดอลลาร์ แนะซื้อเก็บช่วงย่อตัวและรอขายที่ราคา 19,850 บาท ชูกลยุทธ์เก็งกำไรเป็นรอบ ขณะที่ วอลุ่มเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สพุ่งพรวดเป็นเท่าตัวที่ 8 พันสัญญา
วันนี้ (11 ม.ค.) นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด และประธานกรรมการกลุ่มแม่ทองสุก เปิดเผยถึงทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกในปี 2554 ว่า มองราคาเฉลี่ยอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีโอกาสที่จะไปสู่จุดสูงสุดที่ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนราคาทองคำในประเทศมองว่าจะไปอยู่ที่ระดับสูงสุดบาทละ 2.2-2.3 หมื่นบาท ขณะที่ราคาทองคำในปัจจุบันอยู่ที่ 1,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ เชื่อว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในระดับสูงซึ่งในปี 2552 ราคาทองคำอยู่ที่ 1,097 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และปิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ที่ระดับ 1,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 300 กว่าดอลลาร์ เมื่อคิดเป็นอัตราผลตอบแทนในปี 2553 จะอยู่ที่ประมาณ 27% หากลงทุนในสกุลดอลลาร์ แต่ถ้าลงทุนทองคำในประเทศจะมีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 14-15% ส่วนกองทุนที่ซื้อขายในประเทศ และทำเฮดจิ้งไว้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 16-25% แต่ถ้าไม่ได้ทำเฮ็ดจ์จิ้งไว้จะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 13-15%
ขณะที่ ช่วงเปิดตลาดในวันที่ 3 มกราคม ที่ผ่านมา ราคาทองคำดีดตัวขึ้นไปที่ 1,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงต้นและค่อยๆ มีแรงขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งสัปดาห์ ทำให้ราคาทองคำร่วงลงไปถึง 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพียง 4 วันทำการ ซึ่งนั่นคือความผันผวนของราคาทองในตลาดโลกที่มีการคาดการณ์ตัวเลขทางเศรษฐกิจออกมาไม่เป็นไปตามคาด
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ยังมั่นใจว่า ทองคำจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้นและยังสามารถลงทุนได้อยู่ เนื่องจากความต้องการทองคำในตลาดโลกยังมีอยู่สูงโดยเฉพาะในประเทศจีนที่ช่วงนี้ใกล้สู่ช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงทำให้ทองคำขาดตลาด และจีนมีการปลดล็อกการซื้อขายทองมาเป็นระยะเวลา 3 เดือนแล้ว จึงทำให้มีการซื้อขายทองคำได้อย่างอิสระ ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่แม้ตัวเลขการว่างงานของสหรัฐจะลดลงสู่ระดับ 9.4% แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งตัวเลขการว่างงานควรอยู่ที่ระดับ 6% จึงจะแสดงว่าเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างแท้จริง
“ราคาทองคำปรับตัวลดลงในช่วงสัปดาห์ก่อนที่ลงไปถึง 1,352 ดอลลาร์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จากราคาเปิดตลาดปีนี้ที่ระดับ 1,420 ดอลลาร์ ถือเป็นการพักฐานหลังปรับตัวขึ้นมาแรงเมื่อปีที่แล้ว คาดว่าราคาทองคำจะพักฐานที่ระดับประมาณ 1,360-1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปอีกประมาณ 10 วัน ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นใหม่ ส่วนราคาทองคำในประเทศจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 19,700-19,850 บาท” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนระยะสั้นด้านเทคนิคอลอาจจะมีการรีบาวนด์ ให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายที่บริเวณแนวต้าน 19,850 บาท ส่วนนักลงทุนระยะยาวให้ซื้อแล้วถือข้ามเทศกาลตรุษจีนเพื่อรอขายที่ระดับ 22,000-23,000 บาท
“กลยุทธ์ของทองตอนนี้เปลี่ยนเร็วมาก มันผันผวน เล่นเก็งกำไรเป็นรอบเหมือนหุ้น ถ้าเล่นโกลด์ฟิวเจอร์ส แล้ว Short ไว้ ในช่วงต้นปีแค่เพียง 4 วันก็จะได้กำไรแล้วประมาณ 25% แต่ในทางกลับกันถ้าซื้อหรือเปิดสถานะ Long ไว้ก็จะขาดทุน 25% เหมือนกัน” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
ประธานกรรมการ กล่าวต่อว่า ในปี 2554 นี้ เชื่อว่าปริมาณการซื้อขายทองคำล่วงหน้าขนาด 50 บาท หรือ Gold Future จะเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัวจากปัจจุบันที่มีการซื้อขายประมาณ 4,000 สัญญา เป็น 8,000 สัญญาส่วนการซื้อขายทองคำล่วงหน้าขนาด 10 บาท หรือ Mini Gold Futures จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่งของ Gold Futures ขนาด 50 บาท
สำหรับในช่วงไตรมาส 2/2554 ตลาดทองคำ และ Gold Future จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาอีก 3 ตัวได้แก่ Gold ETF, Silver Futures และการขยายเวลาเทรดของ Gold Futures ไปถึง 22.30 น.จากปัจจุบันที่ 17.00 น.ซึ่งบริษัทก็พร้อมที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ดังกล่าว
ด้านธุรกิจการลงทุนซื้อขายสัญญาการลงทุนทองคำล่วงหน้าที่ดำเนินการผ่านบริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด ในปี 2553 บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับที่ 1 ในจำนวน 5 โบรกเกอร์ทองคำ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 18% ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตในการซื้อขายโกลด์ ฟิวเจอร์สในปี 2554 ไว้ประมาณ 20-25% ซึ่งในปีที่ผ่านมาปริมาณสัญญาการซื้อขายของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สโดยรวมมีประมาณ 300,000 สัญญา เฉลี่ยการซื้อขายประมาณ 25,000 สัญญาต่อเดือน ซึ่งคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 200% จากปีก่อน ซึ่งในปีนี้คาดว่าตลาดการลงทุนโกลด์ฟิวเจอร์สจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนและลูกค้าทั่วไปมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีความรู้และความเข้าใจในสินค้านี้เพิ่มขึ้น