ร้านทอง เล่นมุกใหม่! คิดค่ากำเหน็จทองคำแท่ง”พาณิชย์”เต้นเร่งเดินหน้าตรวจสอบ หวั่นประชาชนโดนเอาเปรียบ ชี้หากพบจะเอาผิดตามกฏหมายปรับ 1.4แสนบาท “จิติ”เชื่อสิ้นปีทองยังแตะ 18,000 บาท ขณะที่ บิ๊ก ออสสิริส คาดการณ์ไม่ต่ำกว่า 17,000 บาท ชูหลายปัจจัยยังสนับสนุนราคาดีดตัวเพิ่ม ทั้งกระแสแห่กักตุนของธนาคารกลางประเทศต่างๆ อัตราเงินเฟ้อ และทิศทางดอกเบี้ยที่ยังต่ำ แต่ความผันผวนมีสูง พร้อมมั่นใจมินิโกลด์ ฟิวเจอร์ส ไม่ฉุดมาร์เกตแชร์โบรกฯทองคำหาย แต่จะช่วยดันวอลุ่มโต 10,000 สัญญา/วัน
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในเข้าไปตรวจสอบร้านทองแห่งหนึ่ง หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า ร้านดังกล่าวได้มีการคิดค่ากำเหน็จการซื้อขายทองคำแท่ง 200 บาท ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค และไม่ถูกต้องตามแนวทางปฏิบัติการค้าขายทองคำ (ไกด์ไลน์) ที่ได้จัดทำร่วมกับสมาคมค้าทองคำ เพื่อให้ร้านค้าทองคำยึดเป็นหลักปฏิบัติ เพราะปกติการเรียกเก็บค่ากำเหน็จจากลูกค้า จะคิดเฉพาะการซื้อขายทองคำรูปพรรณเท่านั้น
“จะให้กรมการค้าภายในส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบข้อเท็จริงร้านดังกล่าวก่อน หากเป็นจริงก็ถือว่าผิดหลักไกด์ไลน์ ซึ่งราคาทองคำแท่งที่ซื้อขายในร้านทองนั้น ได้ระบุชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นราคาทองตลาดโลกรวมค่าพรีเมียมและอัตราแลกเปลี่ยน คำนวณออกมาเป็นราคาทองภายในประเทศ” นายยรรยง กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าผิดจริง กรมฯจะดำเนินการเอาผิดกับร้านทองดังกล่าวตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ตามมาตร 29 หรือจงใจทำให้ตลาดปั่นป่วน มีความผิดปรับ 1.4 แสนบาท จำคุก 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ปกติการซื้อขายทำคำแท่งตั้งแต่ 5 บาทขึ้นไป จะไม่มีการเรียกเก็บค่ากำเหน็จ ซึ่งการเรียกเก็บค่ากำเหน็จ 200 บาทของร้านดังกล่าว น่าจะเป็นการซื้อขายทองคำแท่งที่ต่ำกว่า 5 บาท หรือประมาณ 1 บาท หรือ 2 บาทเท่านั้น ซึ่งเรียกว่าเป็นค่าปั๊มหรือค่าเบ้า เพราะทองคำที่ทำออกมา 1 บาท หรือ 2 บาท ลักษณะจะคล้ายกับการซื้อขายทองคำรูปพรรณ เพราะมีการนำทองมาปั๊มหรือทำออกมาในรูปแบบต่างจากทองคำแท่ง เช่น รูปเหรียญ รูปเงินจีนโบราณ
ทั้งนี้ การเรียกเก็บค่าเบ้า เนื่องจากการทำทองคำ 1 บาท ในรูปทองคำแท่ง จะต้องมีการปั๊มใหม่ ซึ่งมีค่าแรงงานเหมือนทองคำรูปพรรณ แต่เมื่อเวลาลูกค้านำทองมาขายก็จะได้ราคาตามราคาตลาดทองคำแท่งที่ประกาศซื้อขาย ณ วันนั้น ไม่รวมค่าเบ้า ซึ่งลูกค้าต้องยอมรับความสูญเสียในส่วนนั้น ส่วนทองคำแท่งที่ซื้อขายในประเทศไทยจะมีเนื้อทอง 96.5% ไม่เหมือนกับการซื้อขายทองคำต่างประเทศที่จะมีเนื้อทอง 99.9% แต่ทองคำ 96.5% ถือเป็นมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของการซื้อขายทองคำในตลาด
สำหรับราคาซื้อขายทองคำในตลาดขณะนี้ ทองคำแท่งซื้อขายที่บาทละ 18,650-18,750 บาท ขณะที่ทองคำรูปพรรณขาย 19,150 บาท ซึ่งแนวโน้มราคาทองน่าจะมีการปรับฐานลงมาเล็กน้อย ตามราคาตลาดโลกที่มีการเทขายทำกำไรทองคำออกมา แต่คาดสิ้นปีราคาทองคำแท่งน่าจะอยู่ที่บาทละ 1.8 หมื่นบาทขึ้นไป
ครึ่งปีแรก53ทองไม่ต่ำกว่า17,000
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานบริษัทออสิริส จำกัด เปิดเผยว่า ในระยะยาวการลงทุนในทองคำยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน เพราะภาวะเศรษฐกิจยังคงผันผวน ทำให้บรรดาธนาคารกลางของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในเอเชียมีความต้องการซื้อทองคำเก็บไว้ในทุนสำรองเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์ยังมีทิศทางที่อ่อนค่า ทำให้ประเมินว่าในปี 2553 ราคาทองคำยังคงปรับขึ้นต่อ โดยในช่วงครึ่งแรก น่าจะเคลื่อนไหวเคลื่อนไหวในกรอบ 1,000-1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือไม่ต่ำกว่า 17,000 บาท
ทั้งนี้ นักลงทุน ควรตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ และจำกัดปริมาณการซื้อไม่เกิน 10-20 บาท เพื่อลดความเสี่ยงและเลือกประเภทของทองคำให้เหมาะสม เช่น ทองคำแท่ง เหรียญทองคำ โกลด์ฟิวเจอร์
“ความต้องการของธนาคารกลาง บวกกับเม็ดเงินในระบบจำนวนมาก แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำ และอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นนั้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวสนับสนุนให้ราคาทองคำยังปรับตัวขึ้นต่อไปในอนาคต ขณะที่ปัญหาในเรื่องดูไบ เวิล์ด ยังต้องมารอดูผลกระทบดังกล่าวในช่วงไตรมาส1ปีหน้าว่าจะมากน้อยแค่ไหน”
เชื่อมั่นมินิโกลด์ ฟิวเจอร์สเวิร์ก
นาย บุญเลิศ กล่าวถึงภาพรวมตลาดโกลด์ ฟิวเจอร์สของไทยว่า หากรวมโบรกเกอร์ร้านทองทั้ง 5 แห่ง เชื่อว่าจะมีมาร์เกตแชร์รวมกันมากกว่า 50%ของทั้งหมด ตามความสนใจของนักลงทุนโดยเฉพาะในช่วงที่ทองคำมีการแกว่งตัวสูงมาก ส่วนของบริษัททีซี ออสสิริส ในเดือนที่ผ่านมามีส่วนแบ่งถึง 12 -18% ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะรักษาส่วนแบ่งการตลาดในระดับนี้ไว้ต่อไป
ขณะที่ในต้นปีหน้า ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) จะเปิดให้มีการซื้อขายมินิโกลด์ ฟิวเจอร์ส (10บาท/สัญญา) มองว่าจะกระตุ้นรายย่อยให้หันมาลงทุนมากขึ้น เพราะจากข้อมูลจะเห็นได้ว่ามีนักลงทุนจำนวนมากที่เข้ามาลงทุนใน Set 50 Futures และหากได้นักลงทุนกลุ่มนี้เข้ามาสภาพคล่องในระบบจะยิ่งเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ที่วอลุ่มซื้อขายเฉลี่ย 7 – 8 พันสัญญา/วัน จึงคาดว่าไตรมาส1/53 วอลุ่มน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 สัญญา/วัน อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าแม้ผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ที่เข้ามาจะมาจากลูกค้าของบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)มากกว่า แต่จะไม่กระทบกับการดำเนินงานของโบรกเกอร์ร้านทองแน่
โดยเป้าหมายในปี 2553 บริษัทตั้งเป้าที่จะมีบัญชีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 1,500 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 600 ราย และมีคิดเป็นบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องกว่า 70% และตั้งเป้าภาพรวมของการเติบโตทางธุรกิจโดยเฉลี่ยไว้ที่ 20%ต่อปี
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในเข้าไปตรวจสอบร้านทองแห่งหนึ่ง หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า ร้านดังกล่าวได้มีการคิดค่ากำเหน็จการซื้อขายทองคำแท่ง 200 บาท ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค และไม่ถูกต้องตามแนวทางปฏิบัติการค้าขายทองคำ (ไกด์ไลน์) ที่ได้จัดทำร่วมกับสมาคมค้าทองคำ เพื่อให้ร้านค้าทองคำยึดเป็นหลักปฏิบัติ เพราะปกติการเรียกเก็บค่ากำเหน็จจากลูกค้า จะคิดเฉพาะการซื้อขายทองคำรูปพรรณเท่านั้น
“จะให้กรมการค้าภายในส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบข้อเท็จริงร้านดังกล่าวก่อน หากเป็นจริงก็ถือว่าผิดหลักไกด์ไลน์ ซึ่งราคาทองคำแท่งที่ซื้อขายในร้านทองนั้น ได้ระบุชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นราคาทองตลาดโลกรวมค่าพรีเมียมและอัตราแลกเปลี่ยน คำนวณออกมาเป็นราคาทองภายในประเทศ” นายยรรยง กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าผิดจริง กรมฯจะดำเนินการเอาผิดกับร้านทองดังกล่าวตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ตามมาตร 29 หรือจงใจทำให้ตลาดปั่นป่วน มีความผิดปรับ 1.4 แสนบาท จำคุก 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ปกติการซื้อขายทำคำแท่งตั้งแต่ 5 บาทขึ้นไป จะไม่มีการเรียกเก็บค่ากำเหน็จ ซึ่งการเรียกเก็บค่ากำเหน็จ 200 บาทของร้านดังกล่าว น่าจะเป็นการซื้อขายทองคำแท่งที่ต่ำกว่า 5 บาท หรือประมาณ 1 บาท หรือ 2 บาทเท่านั้น ซึ่งเรียกว่าเป็นค่าปั๊มหรือค่าเบ้า เพราะทองคำที่ทำออกมา 1 บาท หรือ 2 บาท ลักษณะจะคล้ายกับการซื้อขายทองคำรูปพรรณ เพราะมีการนำทองมาปั๊มหรือทำออกมาในรูปแบบต่างจากทองคำแท่ง เช่น รูปเหรียญ รูปเงินจีนโบราณ
ทั้งนี้ การเรียกเก็บค่าเบ้า เนื่องจากการทำทองคำ 1 บาท ในรูปทองคำแท่ง จะต้องมีการปั๊มใหม่ ซึ่งมีค่าแรงงานเหมือนทองคำรูปพรรณ แต่เมื่อเวลาลูกค้านำทองมาขายก็จะได้ราคาตามราคาตลาดทองคำแท่งที่ประกาศซื้อขาย ณ วันนั้น ไม่รวมค่าเบ้า ซึ่งลูกค้าต้องยอมรับความสูญเสียในส่วนนั้น ส่วนทองคำแท่งที่ซื้อขายในประเทศไทยจะมีเนื้อทอง 96.5% ไม่เหมือนกับการซื้อขายทองคำต่างประเทศที่จะมีเนื้อทอง 99.9% แต่ทองคำ 96.5% ถือเป็นมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของการซื้อขายทองคำในตลาด
สำหรับราคาซื้อขายทองคำในตลาดขณะนี้ ทองคำแท่งซื้อขายที่บาทละ 18,650-18,750 บาท ขณะที่ทองคำรูปพรรณขาย 19,150 บาท ซึ่งแนวโน้มราคาทองน่าจะมีการปรับฐานลงมาเล็กน้อย ตามราคาตลาดโลกที่มีการเทขายทำกำไรทองคำออกมา แต่คาดสิ้นปีราคาทองคำแท่งน่าจะอยู่ที่บาทละ 1.8 หมื่นบาทขึ้นไป
ครึ่งปีแรก53ทองไม่ต่ำกว่า17,000
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานบริษัทออสิริส จำกัด เปิดเผยว่า ในระยะยาวการลงทุนในทองคำยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน เพราะภาวะเศรษฐกิจยังคงผันผวน ทำให้บรรดาธนาคารกลางของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในเอเชียมีความต้องการซื้อทองคำเก็บไว้ในทุนสำรองเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์ยังมีทิศทางที่อ่อนค่า ทำให้ประเมินว่าในปี 2553 ราคาทองคำยังคงปรับขึ้นต่อ โดยในช่วงครึ่งแรก น่าจะเคลื่อนไหวเคลื่อนไหวในกรอบ 1,000-1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือไม่ต่ำกว่า 17,000 บาท
ทั้งนี้ นักลงทุน ควรตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ และจำกัดปริมาณการซื้อไม่เกิน 10-20 บาท เพื่อลดความเสี่ยงและเลือกประเภทของทองคำให้เหมาะสม เช่น ทองคำแท่ง เหรียญทองคำ โกลด์ฟิวเจอร์
“ความต้องการของธนาคารกลาง บวกกับเม็ดเงินในระบบจำนวนมาก แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำ และอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นนั้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวสนับสนุนให้ราคาทองคำยังปรับตัวขึ้นต่อไปในอนาคต ขณะที่ปัญหาในเรื่องดูไบ เวิล์ด ยังต้องมารอดูผลกระทบดังกล่าวในช่วงไตรมาส1ปีหน้าว่าจะมากน้อยแค่ไหน”
เชื่อมั่นมินิโกลด์ ฟิวเจอร์สเวิร์ก
นาย บุญเลิศ กล่าวถึงภาพรวมตลาดโกลด์ ฟิวเจอร์สของไทยว่า หากรวมโบรกเกอร์ร้านทองทั้ง 5 แห่ง เชื่อว่าจะมีมาร์เกตแชร์รวมกันมากกว่า 50%ของทั้งหมด ตามความสนใจของนักลงทุนโดยเฉพาะในช่วงที่ทองคำมีการแกว่งตัวสูงมาก ส่วนของบริษัททีซี ออสสิริส ในเดือนที่ผ่านมามีส่วนแบ่งถึง 12 -18% ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะรักษาส่วนแบ่งการตลาดในระดับนี้ไว้ต่อไป
ขณะที่ในต้นปีหน้า ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) จะเปิดให้มีการซื้อขายมินิโกลด์ ฟิวเจอร์ส (10บาท/สัญญา) มองว่าจะกระตุ้นรายย่อยให้หันมาลงทุนมากขึ้น เพราะจากข้อมูลจะเห็นได้ว่ามีนักลงทุนจำนวนมากที่เข้ามาลงทุนใน Set 50 Futures และหากได้นักลงทุนกลุ่มนี้เข้ามาสภาพคล่องในระบบจะยิ่งเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ที่วอลุ่มซื้อขายเฉลี่ย 7 – 8 พันสัญญา/วัน จึงคาดว่าไตรมาส1/53 วอลุ่มน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 สัญญา/วัน อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าแม้ผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ที่เข้ามาจะมาจากลูกค้าของบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)มากกว่า แต่จะไม่กระทบกับการดำเนินงานของโบรกเกอร์ร้านทองแน่
โดยเป้าหมายในปี 2553 บริษัทตั้งเป้าที่จะมีบัญชีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 1,500 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 600 ราย และมีคิดเป็นบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องกว่า 70% และตั้งเป้าภาพรวมของการเติบโตทางธุรกิจโดยเฉลี่ยไว้ที่ 20%ต่อปี