กองปราบรวบสองกะเทยพี่น้อง ลวงเหยื่อร่วมลงทุนเก็งกำไรซื้อขายในตลาดทองคำล่วงหน้า เหยื่อหลงเชื่อนำเงินเข้าลงทุน แต่ไม่ได้ผลตอบแทนตามกล่าวอ้าง นำความเข้าแจ้ง ก่อนตามรวบตัวได้ทั้งสองพี่น้อง พบมีผู้เสียหายถูกหลอกหลายรายรวมมูลค่า 8.3 ล้านบาท แต่ยังให้การภาคเสธ สอบประวัติผู้ต้องหาเคยถูกจับในคดีลักษณะนี้มาแล้ว
วันนี้ (30 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป.พร้อมด้วย พ.ต.ต.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา สว.กก.1 บก.ป.นำกำลังจับกุม นายศักดา ปันนิตามัย อายุ 31 ปี และ นายชูเกียรติ ปันนิตามัย อายุ 28 ปี สองพี่น้องสาวประเภทสอง อยู่บ้านเลขที่ 130 ถนนสุมนเทวราช ต.ในเวียง อ.เมือง จ.น่าน ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 3188 และ 3189/2552 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น จับกุมได้ที่บริเวณชั้น 1 ตึกไทยซีซี ถนนสาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กทม.
ทั้งนี้ นายกิตติพงษ์ รักจรรยา ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ป.ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง หลังจากเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้ถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนกับบริษัท โกลด์ เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด เพื่อเก็งกำไรในตลาดซื้อขายทองคำล่วงหน้า โดยผู้ต้องหาอ้างว่า การลงทุนดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนดี ต่อมา นายกิตติพงษ์ หลงเชื่อยอมโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาหัวหมาก ให้กับผู้ต้องหาหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 8,300,000 บาท แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามและสามารถจับกุมดังกล่าว
นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ มีเสียงผู้ชายโทรศัพท์มาหาอ้างว่าเป็นผู้แทนบริษัท โกลด์ เอ็นเตอร์ไพร์ส ทำธุรกิจซื้อขายทองคำชักชวนให้ซื้อขายทองคำล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไร ตนสนใจจึงนัดเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่กลับพบกับผู้ต้องหาซึ่งเป็นสาวประเภทสอง อ้างตัวว่าเป็นเซลส์ของบริษัทดังกล่าว ก่อนจะนำแฟ้มเอกสารรายละเอียดการซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่กำหนดไว้ให้ลงทุนเป็นยูนิตๆ ละ 40,000 บาท โดยผลกำไรจะขึ้นอยู่กับราคาทองคำในปัจจุบัน จึงร่วมลงทุนไปเป็นเงิน 400,000 บาท ได้รับรหัสผ่านของเว็บไซด์บริษัทฯ เพื่อตรวจสอบผลกำไรในการลงทุนโดยช่วง 1 เดือนแรกมีผลกำไรตอบแทนจำนวน 100,000 บาท จึงรีบเบิกเงินออกมา
นายกิตติพงษ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้น อีกประมาณ 1 เดือน ทางบริษัทกลับแจ้งกับตนว่าผลกำไรเริ่มลดลงขอให้นำเงินมาลงทุนเพิ่มเติมไม่เช่นนั้นเงินที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้จะสูญหายไป ตนจึงยอมโอนเงินให้ครั้งละ 1-2 แสนบาท เพราะเสียดายหากไม่เพิ่มเงินการลงทุนทั้งหมดอาจสูญเปล่า
“ผมต้องนำเงินมรดกรวมทั้งไปหยิบยืมจากญาติมาลงทุน แต่ในระยะหลังกลับไม่ได้กำไรอีกเลย เมื่อต้องนำเงินมาลงทุนไปเรื่อยๆ ทำให้มีหนี้สินมากขึ้น ก่อนจะมาเอะใจว่าการลงทุนที่ไม่มีหลักฐานยืนยันได้เช่นนี้ทำให้ถูกหลอกลวงได้ จึงปรึกษากับญาติก่อนจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง” นายกิตติพงษ์ กล่าว
สอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธ อ้างว่า ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น และเป็นเพียงพนักงานของบริษัทฯ เท่านั้น อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบประวัติของนายชูเกียรติ พบว่า เคยถูกตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ จับกุมในคดีลักษณะเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งแต่ได้ตกลงยอมความกับผู้เสียหาย ก่อนจะมาก่อคดีอีกครั้ง โดยชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บก.ป.รับไว้ดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (30 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป.พร้อมด้วย พ.ต.ต.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา สว.กก.1 บก.ป.นำกำลังจับกุม นายศักดา ปันนิตามัย อายุ 31 ปี และ นายชูเกียรติ ปันนิตามัย อายุ 28 ปี สองพี่น้องสาวประเภทสอง อยู่บ้านเลขที่ 130 ถนนสุมนเทวราช ต.ในเวียง อ.เมือง จ.น่าน ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 3188 และ 3189/2552 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น จับกุมได้ที่บริเวณชั้น 1 ตึกไทยซีซี ถนนสาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กทม.
ทั้งนี้ นายกิตติพงษ์ รักจรรยา ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ป.ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง หลังจากเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้ถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนกับบริษัท โกลด์ เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด เพื่อเก็งกำไรในตลาดซื้อขายทองคำล่วงหน้า โดยผู้ต้องหาอ้างว่า การลงทุนดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนดี ต่อมา นายกิตติพงษ์ หลงเชื่อยอมโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาหัวหมาก ให้กับผู้ต้องหาหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 8,300,000 บาท แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามและสามารถจับกุมดังกล่าว
นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ มีเสียงผู้ชายโทรศัพท์มาหาอ้างว่าเป็นผู้แทนบริษัท โกลด์ เอ็นเตอร์ไพร์ส ทำธุรกิจซื้อขายทองคำชักชวนให้ซื้อขายทองคำล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไร ตนสนใจจึงนัดเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่กลับพบกับผู้ต้องหาซึ่งเป็นสาวประเภทสอง อ้างตัวว่าเป็นเซลส์ของบริษัทดังกล่าว ก่อนจะนำแฟ้มเอกสารรายละเอียดการซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่กำหนดไว้ให้ลงทุนเป็นยูนิตๆ ละ 40,000 บาท โดยผลกำไรจะขึ้นอยู่กับราคาทองคำในปัจจุบัน จึงร่วมลงทุนไปเป็นเงิน 400,000 บาท ได้รับรหัสผ่านของเว็บไซด์บริษัทฯ เพื่อตรวจสอบผลกำไรในการลงทุนโดยช่วง 1 เดือนแรกมีผลกำไรตอบแทนจำนวน 100,000 บาท จึงรีบเบิกเงินออกมา
นายกิตติพงษ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้น อีกประมาณ 1 เดือน ทางบริษัทกลับแจ้งกับตนว่าผลกำไรเริ่มลดลงขอให้นำเงินมาลงทุนเพิ่มเติมไม่เช่นนั้นเงินที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้จะสูญหายไป ตนจึงยอมโอนเงินให้ครั้งละ 1-2 แสนบาท เพราะเสียดายหากไม่เพิ่มเงินการลงทุนทั้งหมดอาจสูญเปล่า
“ผมต้องนำเงินมรดกรวมทั้งไปหยิบยืมจากญาติมาลงทุน แต่ในระยะหลังกลับไม่ได้กำไรอีกเลย เมื่อต้องนำเงินมาลงทุนไปเรื่อยๆ ทำให้มีหนี้สินมากขึ้น ก่อนจะมาเอะใจว่าการลงทุนที่ไม่มีหลักฐานยืนยันได้เช่นนี้ทำให้ถูกหลอกลวงได้ จึงปรึกษากับญาติก่อนจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง” นายกิตติพงษ์ กล่าว
สอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธ อ้างว่า ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น และเป็นเพียงพนักงานของบริษัทฯ เท่านั้น อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบประวัติของนายชูเกียรติ พบว่า เคยถูกตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ จับกุมในคดีลักษณะเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งแต่ได้ตกลงยอมความกับผู้เสียหาย ก่อนจะมาก่อคดีอีกครั้ง โดยชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บก.ป.รับไว้ดำเนินคดีต่อไป