ทองคำยังพุ่งไม่หยุด แค่วันเดียวต้องปรับราคาถึง 6 รอบ ก่อนทองแท่งปิดที่ 18,700 บาท รูปพรรณ 19,100 บาท ด้านสัญญาทอง COMEX พุ่งทำนิวไฮเป็นครั้งที่ 3 ในรอบสัปดาห์ จากความไม่เชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว ขณะที่ธนาคารกลางต่างๆก็เก็บทองเข้าคลังมากขึ้น ส่วนในเมืองไทยร้านทองเล็กๆในต่างจังหวัดทยอยปิดตัวเป็นว่าเล่น หลังแพงจัดจนขายไม่ออก ชูโปรโมชั่นไม่คิดค่ากำเหน็จดึงลูกค้า พร้อมวอนให้ตำรวจเพิ่มความถี่ตรวจตา หวั่นมิจฉาชีพปล้น ขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อขึ้นมากก็มีโอกาสลงสูง เมื่อเศรษฐกิจกลับสู่สมดุล เฮดจ์ฟันด์เทขาย ทุบราคาแน่!
การปรับตัวของราคาทองคำ ยังไม่มีทีท่าหยุดนิ่ง ล่าสุดวานนี้(26พ.ย.)ยังปรับตัวขึ้นไม่หยุด จนสมาคมผู้ค้าทองคำ ต้องทำการปรับราคาขายเพิ่มระหว่างวันถึง 6 รอบ เริ่มตั้งแต่ 18,600 บาท มาจบที่ 18,700 บาท ระหว่างวันสูงสุดที่ 18,800 บาท ขณะที่ทองคำรูปพรรณขายออกแตะ 19,100 บาทแล้ว
ส่วนความเคลื่อนไหวราคาทองคำต่างประเทศ พบว่าสัญญาทองคำ COMEX ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่สิงคโปร์ พุ่งขึ้นทำนิวไฮครั้งที่ 3 ในรอบสัปดาห์นี้ โดยสัญญาทองคำเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในช่วงที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนัก และจากข่าวที่ว่าธนาคารกลางศรีลังกาเข้าซื้อทองคำจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
น้ำหนัก 10 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 375 ล้านดอลลาร์ ซึ่งข่าวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากธนาคารกลางอินเดียเข้าซื้อทองคำจากไอเอ็มเอฟในปริมาณ 200 เมตริกตัน มูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์ในช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา และเมื่อไม่นานมานี้ธนาคารกลางมอริเชียสได้ซื้อทองคำน้ำหนัก 2 เมตริกตันจากไอเอ็มเอฟ มูลค่าประมาณ 71.7 ล้านดอลลาร์
โดยการร่วงลงอย่างต่อเนื่องของค่าเงินดอลลาร์เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หลังดัชนี US Dollar Index ดิ่งลง 1.1% จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้แสดงความวิตกกังวลต่อสกุลเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ พร้อมกับยืนยันว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนแห่ซื้อสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า รวมถึงยูโรและดอลลาร์ออสเตรเลีย
ร้านทองงัดกลยุทธ์ปลอดค่ากำเหน็จ
ภาวะการปรับตัวอย่างไม่มีทีท่าหยุดนิ่งของราคาทองคำในครั้งนี้ ส่งผลต่อธุรกิจร้านทองในประเทศไทย ทั้งในย่านเยาวราช และ จ.กาฬสินธุ์ บรรยากาศซบเซาเป็นอย่างมาก โดยร้านทองคำรายเล็กต้องทยอยปิดกิจการไปแล้วส่วนหนึ่ง ขณะที่ร้านทองใหญ่ ๆ ต้องมีการปรับกลยุทธิ์เพื่อเรียกลูกค้ามาซื้อทองคำ หลังผลกระทบจากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ไม่มีการซื้อขายทองคำในช่วงนี้
นายไพรรัช กาญจนาศิริวรรณ เจ้าของห้างทองสีฟ้า จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า การซื้อขายทองคำเป็นไปอย่างเงียบเหงามากเพราะราคาทองคำที่สูงขึ้นทำให้ไม่มีลูกค่ามาซื้อทองคำ และยังไม่มีทองคำมาขายเพราะได้เทขายทองคำตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการซื้อขายทองคำที่อยู่ในราคาที่สูงแล้ว ทำให้ร้านทองต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธิ์ในการซื้อขายใหม่ด้วยการประกาศขายทองคำแบบปลอดค่ากำเหน็จที่อาจจะทำให้ประชาชนและลูกค้าที่อยากจะซื้อทองคำตัดสินใจมาซื้อทองได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองว่าการลงทุนการซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไร ยังมีอนาคตที่สวยงามเพราะทองคำเป็นสินค้าเป็นการลงทุนที่ซื้อง่ายขายคล่องและได้ผลตอบแทนเร็ว แต่ในปีหน้าสำหรับผู้ที่มีความต้องการซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรควรที่จะซื้อเป็นระยะ ๆ จะดีกว่าการเทซื้อครั้งเดียวเพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่า
นอกจากนี้จากภาวะราคาทองคำที่สูงขึ้นมาก ทางร้านทองต้องมีการจ้างเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเฝ้าและดูแลความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า และยังต้องขอความช่วยเหลือให้ตำรวจสายตรวจเข้ามาดูความปลอดภัยแบบชั่วในต่อชั่วโมง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดปัญหาปล้นจี้อย่างที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ พื้นที่มาแล้ว
ไขปริศนาราคาทองพุ่งไร้ลิมิต
นักวิเคราะห์การลงทุน ระบุว่า ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงเป็นตลาดกระทิง ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำในไทยมีโอกาสขยับขึ้นไปแตะบาทละ 20,000 บาท หรืออีก 10% จากปัจจุบันประมาณ 18,000 บาท ส่วนราคาในตลาดโลกให้ดูแนวต้านสำคัญที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ ปัจจัยใหม่ที่ทำให้พื้นฐานราคาทองคำเปลี่ยน ได้แก่ ธนาคารกลางของหลายประเทศที่เปลี่ยนสถานะตนเองจากผู้ขายมาเป็นผู้ซื้อในตลาด เพื่อป้องกันความเสี่ยงของมูลค่าสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศที่อาจลดลง เรียกว่า ทองคำถูกจัดให้เป็น Wealth Protection ที่สำคัญแล้ว
นอกจากนี้ ภาวะวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินสกุลหลักของหลายประเทศ มีความผันผวนมาก บริษัทเอกชนต่างๆ สถาบันการเงิน เฮดจ์ฟันด์ บริษัทข้ามชาติ หรือแม้แต่นักลงทุนรายย่อย ก็หลั่งไหลเข้าหาทองคำกันมากมาย จึงเป็นปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่นำราคาทองคำพุ่งขึ้นไปไม่หยุด
นักวิเคราะห์การลงทุน กล่วว่า ภาวะทองคำที่พุ่งไม่หยุด เนื่องจากตลาดในขณะนี้ ถูกชักนำโดยกลุ่มคนการเงิน ไม่ใช่คนค้าทอง เหมือนเมื่อก่อน สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในตอนนี้ คือ ขนาดของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สได้พุ่งขึ้นแซงหน้าตลาดทองคำแท่งไปแล้ว และมีการขยายตัวในอัตราที่น่ากลัว
"ตลาดเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สของต่างประเทศมูลค่าสูงถึง 50-60 เท่าของทองคำแท่งจริง แต่ในส่วนของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สในประเทศไทยเพิ่งตั้งปีนี้ ตอนนี้ตลาดก็พุ่งขึ้นมาคู่คี่กับทองคำแท่ง โดยปริมาณโกลด์ฟิวเจอร์สที่เล่นกัน วันละ 2,500 คู่สัญญา และถ้าธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องการถือทองเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นดีมานด์ที่แท้จริงได้ อย่างไรก็ตามเวลาที่เก็งกำไรทองกันสูงมากเกินก็มีโอกาสที่เฮดจ์ฟันด์ย้ายไปเล่นเก็งกำไรน้ำมันแทน"
อย่างไรก็ตาม หากมุมมองเปลี่ยนแปลงไป มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ราคาทองปรับตัวลงไปแรง หมายความว่า เศรษฐกิจโลกต้องกลับมาสู่ภาวะสมดุลเศรษฐกิจเข้มแข็งมากจนทำให้ทุกประเทศกลับไปหาสินทรัพย์ตัวอื่นแทนทองคำ ตามกลไกตลาด ก็อาจทำให้ราคาทองคำปรับลดลงได้
นอกจากนี้ สิ่งที่ยืนยันได้ชัดเจนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ คือ สินค้าทองคำได้ให้ความมั่งคงแข็งแกร่งในทุกมิติ และสร้างความมั่งคั่งได้ แต่ปัญหาสำคัญในตลาดทองคำเวลานี้ คือ ปริมาณความต้องการเทียมสูงกว่าความต้องการที่แท้จริง สะท้อนในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส กลุ่มนักลงทุนต้องการลงทุนในทองเพื่อเก็งกำไร เช่น สถาบันการเงิน เพื่อเอากำไรส่วนต่าง แต่ไม่ต้องการซื้อทองเก็บ
ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่สุด ได้แก่ การที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เปลี่ยนท่าทีต่อการลงทุนในทองคำเพื่อลดความเสี่ยงหรือไม่ ถ้าหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป นักลงทุนก็ต้องรีบหันกลับทิศทางการลงทุนในทันที
การปรับตัวของราคาทองคำ ยังไม่มีทีท่าหยุดนิ่ง ล่าสุดวานนี้(26พ.ย.)ยังปรับตัวขึ้นไม่หยุด จนสมาคมผู้ค้าทองคำ ต้องทำการปรับราคาขายเพิ่มระหว่างวันถึง 6 รอบ เริ่มตั้งแต่ 18,600 บาท มาจบที่ 18,700 บาท ระหว่างวันสูงสุดที่ 18,800 บาท ขณะที่ทองคำรูปพรรณขายออกแตะ 19,100 บาทแล้ว
ส่วนความเคลื่อนไหวราคาทองคำต่างประเทศ พบว่าสัญญาทองคำ COMEX ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่สิงคโปร์ พุ่งขึ้นทำนิวไฮครั้งที่ 3 ในรอบสัปดาห์นี้ โดยสัญญาทองคำเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในช่วงที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนัก และจากข่าวที่ว่าธนาคารกลางศรีลังกาเข้าซื้อทองคำจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
น้ำหนัก 10 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 375 ล้านดอลลาร์ ซึ่งข่าวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากธนาคารกลางอินเดียเข้าซื้อทองคำจากไอเอ็มเอฟในปริมาณ 200 เมตริกตัน มูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์ในช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา และเมื่อไม่นานมานี้ธนาคารกลางมอริเชียสได้ซื้อทองคำน้ำหนัก 2 เมตริกตันจากไอเอ็มเอฟ มูลค่าประมาณ 71.7 ล้านดอลลาร์
โดยการร่วงลงอย่างต่อเนื่องของค่าเงินดอลลาร์เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หลังดัชนี US Dollar Index ดิ่งลง 1.1% จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้แสดงความวิตกกังวลต่อสกุลเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ พร้อมกับยืนยันว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนแห่ซื้อสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า รวมถึงยูโรและดอลลาร์ออสเตรเลีย
ร้านทองงัดกลยุทธ์ปลอดค่ากำเหน็จ
ภาวะการปรับตัวอย่างไม่มีทีท่าหยุดนิ่งของราคาทองคำในครั้งนี้ ส่งผลต่อธุรกิจร้านทองในประเทศไทย ทั้งในย่านเยาวราช และ จ.กาฬสินธุ์ บรรยากาศซบเซาเป็นอย่างมาก โดยร้านทองคำรายเล็กต้องทยอยปิดกิจการไปแล้วส่วนหนึ่ง ขณะที่ร้านทองใหญ่ ๆ ต้องมีการปรับกลยุทธิ์เพื่อเรียกลูกค้ามาซื้อทองคำ หลังผลกระทบจากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ไม่มีการซื้อขายทองคำในช่วงนี้
นายไพรรัช กาญจนาศิริวรรณ เจ้าของห้างทองสีฟ้า จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า การซื้อขายทองคำเป็นไปอย่างเงียบเหงามากเพราะราคาทองคำที่สูงขึ้นทำให้ไม่มีลูกค่ามาซื้อทองคำ และยังไม่มีทองคำมาขายเพราะได้เทขายทองคำตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการซื้อขายทองคำที่อยู่ในราคาที่สูงแล้ว ทำให้ร้านทองต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธิ์ในการซื้อขายใหม่ด้วยการประกาศขายทองคำแบบปลอดค่ากำเหน็จที่อาจจะทำให้ประชาชนและลูกค้าที่อยากจะซื้อทองคำตัดสินใจมาซื้อทองได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองว่าการลงทุนการซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไร ยังมีอนาคตที่สวยงามเพราะทองคำเป็นสินค้าเป็นการลงทุนที่ซื้อง่ายขายคล่องและได้ผลตอบแทนเร็ว แต่ในปีหน้าสำหรับผู้ที่มีความต้องการซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรควรที่จะซื้อเป็นระยะ ๆ จะดีกว่าการเทซื้อครั้งเดียวเพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่า
นอกจากนี้จากภาวะราคาทองคำที่สูงขึ้นมาก ทางร้านทองต้องมีการจ้างเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเฝ้าและดูแลความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า และยังต้องขอความช่วยเหลือให้ตำรวจสายตรวจเข้ามาดูความปลอดภัยแบบชั่วในต่อชั่วโมง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดปัญหาปล้นจี้อย่างที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ พื้นที่มาแล้ว
ไขปริศนาราคาทองพุ่งไร้ลิมิต
นักวิเคราะห์การลงทุน ระบุว่า ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงเป็นตลาดกระทิง ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำในไทยมีโอกาสขยับขึ้นไปแตะบาทละ 20,000 บาท หรืออีก 10% จากปัจจุบันประมาณ 18,000 บาท ส่วนราคาในตลาดโลกให้ดูแนวต้านสำคัญที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ ปัจจัยใหม่ที่ทำให้พื้นฐานราคาทองคำเปลี่ยน ได้แก่ ธนาคารกลางของหลายประเทศที่เปลี่ยนสถานะตนเองจากผู้ขายมาเป็นผู้ซื้อในตลาด เพื่อป้องกันความเสี่ยงของมูลค่าสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศที่อาจลดลง เรียกว่า ทองคำถูกจัดให้เป็น Wealth Protection ที่สำคัญแล้ว
นอกจากนี้ ภาวะวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินสกุลหลักของหลายประเทศ มีความผันผวนมาก บริษัทเอกชนต่างๆ สถาบันการเงิน เฮดจ์ฟันด์ บริษัทข้ามชาติ หรือแม้แต่นักลงทุนรายย่อย ก็หลั่งไหลเข้าหาทองคำกันมากมาย จึงเป็นปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่นำราคาทองคำพุ่งขึ้นไปไม่หยุด
นักวิเคราะห์การลงทุน กล่วว่า ภาวะทองคำที่พุ่งไม่หยุด เนื่องจากตลาดในขณะนี้ ถูกชักนำโดยกลุ่มคนการเงิน ไม่ใช่คนค้าทอง เหมือนเมื่อก่อน สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในตอนนี้ คือ ขนาดของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สได้พุ่งขึ้นแซงหน้าตลาดทองคำแท่งไปแล้ว และมีการขยายตัวในอัตราที่น่ากลัว
"ตลาดเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สของต่างประเทศมูลค่าสูงถึง 50-60 เท่าของทองคำแท่งจริง แต่ในส่วนของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สในประเทศไทยเพิ่งตั้งปีนี้ ตอนนี้ตลาดก็พุ่งขึ้นมาคู่คี่กับทองคำแท่ง โดยปริมาณโกลด์ฟิวเจอร์สที่เล่นกัน วันละ 2,500 คู่สัญญา และถ้าธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องการถือทองเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นดีมานด์ที่แท้จริงได้ อย่างไรก็ตามเวลาที่เก็งกำไรทองกันสูงมากเกินก็มีโอกาสที่เฮดจ์ฟันด์ย้ายไปเล่นเก็งกำไรน้ำมันแทน"
อย่างไรก็ตาม หากมุมมองเปลี่ยนแปลงไป มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ราคาทองปรับตัวลงไปแรง หมายความว่า เศรษฐกิจโลกต้องกลับมาสู่ภาวะสมดุลเศรษฐกิจเข้มแข็งมากจนทำให้ทุกประเทศกลับไปหาสินทรัพย์ตัวอื่นแทนทองคำ ตามกลไกตลาด ก็อาจทำให้ราคาทองคำปรับลดลงได้
นอกจากนี้ สิ่งที่ยืนยันได้ชัดเจนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ คือ สินค้าทองคำได้ให้ความมั่งคงแข็งแกร่งในทุกมิติ และสร้างความมั่งคั่งได้ แต่ปัญหาสำคัญในตลาดทองคำเวลานี้ คือ ปริมาณความต้องการเทียมสูงกว่าความต้องการที่แท้จริง สะท้อนในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส กลุ่มนักลงทุนต้องการลงทุนในทองเพื่อเก็งกำไร เช่น สถาบันการเงิน เพื่อเอากำไรส่วนต่าง แต่ไม่ต้องการซื้อทองเก็บ
ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่สุด ได้แก่ การที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เปลี่ยนท่าทีต่อการลงทุนในทองคำเพื่อลดความเสี่ยงหรือไม่ ถ้าหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป นักลงทุนก็ต้องรีบหันกลับทิศทางการลงทุนในทันที