ราคาทองยังพุ่งไม่หยุด ล่าสุดแตะ 19,200 บาท คาดมีโอกาสทะลุ 20,000 บาท โดยมีแนวต้านในตลาดโลกที่ระดับราคา 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นักวิเคราะห์การลงทุน ชี้ ปัจจัยใหม่ที่ทำให้พื้นฐานราคาทองคำเปลี่ยน ได้แก่ ธนาคารกลางหลายประเทศ เปลี่ยนสถานะจากผู้ขายมาเป็นผู้ซื้อในตลาด เพื่อป้องกันความเสี่ยงของมูลค่าสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศที่อาจลดลง ชี้ภาวะตลาดในขณะนี้ ถูกชักนำโดยกลุ่มคนการเงิน ไม่ใช่คนค้าทอง เหมือนเช่นในอดีต
สมาคมค้าทองคำ รายงานราคาทองประจำวันที่ 26 พฤศจิกายน 2552 เมื่อเวลา 10.43 น. ราคาทองคำแท่งรับซื้อคืนบาทละ 18,700 ขายออก 18,800 ทองรูปพรรณรับซื้อคืนบาทละ 18,434.56 บาท ขายออก 19,200 ทำสถิติใหม่เข้าใกล้ 20,000 บาทแล้ว
นักวิเคราะห์การลงทุนระบุว่า ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงเป็นตลาดกระทิง ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำในไทยมีโอกาสขยับขึ้นไปแตะบาทละ 20,000 บาท หรืออีก 10% จากปัจจุบันประมาณ 18,000 บาท ส่วนราคาในตลาดโลกให้ดูแนวต้านสำคัญที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ ปัจจัยใหม่ที่ทำให้พื้นฐานราคาทองคำเปลี่ยน ได้แก่ ธนาคารกลางของหลายประเทศที่เปลี่ยนสถานะตนเองจากผู้ขายมาเป็นผู้ซื้อในตลาด เพื่อป้องกันความเสี่ยงของมูลค่าสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศที่อาจลดลง เรียกว่า ทองคำถูกจัดให้เป็น Wealth Protection ที่สำคัญแล้ว
นอกจากนี้ ภาวะวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินสกุลหลักของหลายประเทศ มีความผันผวนมาก บริษัทเอกชนต่างๆ สถาบันการเงิน เฮดจ์ฟันด์ บริษัทข้ามชาติ หรือแม้แต่นักลงทุนรายย่อย ก็หลั่งไหลเข้าหาทองคำกันมากมาย จึงเป็นปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่นำราคาทองคำพุ่งขึ้นไปไม่หยุด
นักวิเคราะห์การลงทุนกล่าวว่า ภาวะทองคำที่พุ่งไม่หยุด เนื่องจากตลาดในขณะนี้ ถูกชักนำโดยกลุ่มคนการเงิน ไม่ใช่คนค้าทองเหมือนเมื่อก่อน สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในตอนนี้ คือ ขนาดของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สได้พุ่งขึ้นแซงหน้าตลาดทองคำแท่งไปแล้ว และมีการขยายตัวในอัตราที่น่ากลัว
“ตลาดเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สของต่างประเทศมูลค่าสูงถึง 50-60 เท่าของทองคำแท่งจริง แต่ในส่วนของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สในประเทศไทยเพิ่งตั้งปีนี้ ตอนนี้ตลาดก็พุ่งขึ้นมาคู่คี่กับทองคำแท่ง โดยปริมาณโกลด์ฟิวเจอร์สที่เล่นกัน วันละ 2,500 คู่สัญญา และถ้าธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องการถือทองเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นดีมานด์ที่แท้จริงได้ อย่างไรก็ตาม เวลาที่เก็งกำไรทองกันสูงมากเกินก็มีโอกาสที่เฮดจ์ฟันด์ย้ายไปเล่นเก็งกำไรน้ำมันแทน”
อย่างไรก็ตาม หากมุมมองเปลี่ยนแปลงไป มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ราคาทองปรับตัวลงไปแรง หมายความว่า เศรษฐกิจโลกต้องกลับมาสู่ภาวะสมดุลเศรษฐกิจเข้มแข็งมากจนทำให้ทุกประเทศกลับไปหาสินทรัพย์ตัวอื่นแทนทองคำ ตามกลไกตลาด ก็อาจทำให้ราคาทองคำปรับลดลงได้
นอกจากนี้ สิ่งที่ยืนยันได้ชัดเจนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ คือ สินค้าทองคำได้ให้ความมั่งคงแข็งแกร่งในทุกมิติ และสร้างความมั่งคั่งได้ แต่ปัญหาสำคัญในตลาดทองคำเวลานี้ คือ ปริมาณความต้องการเทียมสูงกว่าความต้องการที่แท้จริง สะท้อนในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส กลุ่มนักลงทุนต้องการลงทุนในทองเพื่อเก็งกำไร เช่น สถาบันการเงิน เพื่อเอากำไรส่วนต่าง แต่ไม่ต้องการซื้อทองเก็บ
ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่สุด ได้แก่ การที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เปลี่ยนท่าทีต่อการลงทุนในทองคำเพื่อลดความเสี่ยงหรือไม่ ถ้าหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป นักลงทุนก็ต้องรีบหันกลับทิศทางการลงทุนในทันที