ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.เผยตราสารหนี้ออสเตรเลีย -นิวซีแลนด์ยังมีความน่าสนใจ หากเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น เพราะจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ แต่ไม่รีบร้อนจัดตั้งกองทุนเสนอขายลูกค้า เพราะช่วงนี้ยังคงมีความเสี่ยงสูง แต่จะรอหาโอกาสและจังหวะกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้ง
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคค บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวถึงการลงทุนในประเทศ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ภายหลังจากที่ตัวเลขทางเศรษบกิจในไตรมาส 3ปีการหดตัวและมีแนวโน้วต่อเนื่องไปจนถึงปี 2552ว่า เรื่องนี้ ได้มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกได้มีการปรับตัวลดลงมาอย่างแรงและเร็วมาก จึงได้วางแผนหลบผลกระทบและหลีกเลี่ยงการลงทุนไปยังประเทศดังกล่าวด้วย และจากเหตุการณ์ที่สหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารเกิดการล้มละลาย รวมไปถึงการปรับลดพนักงานลง ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และส่งผลให้ค่าเงินทั่วโลกอ่อนค่าลงนั้น เกิดจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นค่าเงินกลางที่ทุกประเทศมีความต้องการจนทำให้ค่าเงินมีการแข็งค่าขึ้นมา และเมื่อนำค่าเงินมาเปรียบเทียบการลงทุนในประเทศจะพบว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่ง
"ในส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทสออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บริษัทมองว่าเป็นเพียงปัจจัยที่จะส่งผลกระทบเพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยคาดว่าในปี 2552 อัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 0% ดังนั้นการลงทุนในประเทศดังกล่าวจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ อีกทั้งเศรษฐกิจของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์จะสามารถฟิ้นตัวได้เร็วกว่าอเมริกาเพราะไม่ได้ได้รับผลกระทบโดยตรงเหมือนสหรัฐฯ"นายธีรนาถ กล่าว
นอกจากนี้ กองทุนของบริษัทที่เข้าไปลงทุนในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ผลตอบแทนอาจมีการปรับตัวลดลงบ้าง เนื่องจากนักลงทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ในต่างประเทศจะมีความวิตกกังวลเมื่อ เศรษฐกิจโลกเกิดการชะลอตัว อีกทั้งมีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนที่จะได้รับลดน้อยลงไปด้วย แต่สำหรับกองทุนของบริษัทมีการกำหนดผลตอบแทนตายตัว เรื่องนี้นักลงทุนจึงคลายความวิตกกังวลได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะจัดตั้งกองทุนเข้าไปลงทุนในทั้งสองประเทศนี้เพิ่มหรือไม่ เรื่องนี้ต้องรอดูอัตราดอกเบี้ยระหว่างในประเทศกับประเทศก่อนว่ามีความแตกต่างกกันมากน้อยแค่ไหน หากมีความแตกต่างมาก โอกาสที่จะมีการจัดตั้งกองทุนออกไปลงทุนจะมีสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันหากมองถึงผลตอบแทนที่จะได้รับหลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว การลงทุนในประเทศทั้งสอง จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้
ด้าน นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. บีที จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในประเทศ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ว่าเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัวไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน โดยการลงทุนในออสเตรเลีย หรือ นิวซีแลนด์ ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เป็นหลัก ดังนั้นการลงทุนจึงจำเป็นที่บริษัทจะต้องรอดูแนวโน้มการฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกา ยุโรปและจีน ซึ่งขณะนี้ได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
ทั้งนี้ การลงทุนในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เนื่องจากปัจจุบันค่าเงินที่ใช้ในประเทศเหล่านี้มีการปรับตัวลดลงอย่างมาก ส่งผลให้การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจลดน้อยลงไปด้วย แต่การประสานนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆเพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของตนเองนั้นจะส่งผลดีต่อประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อย่างไรก็ตามยังจำเป็นที่จะต้องรอการฟื้นตัวของสหรัฐฯ ว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วมากน้อยแค่ไหน เพราะหากฟื้นตัวได้เร็วจะส่งผลดีต่อประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะการสั่งซื้อและจัดส่งวัตถุดิบประเภทคอมมอดิตีให้กับสหรัฐและจีน
ขณะเดียวกัน เนื่องจากค่าเงินของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ได้ปรับตัวลดลงมามากว่าระดับที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้ความเสี่ยงจากค่าเงินได้ลดต่ำลงไปด้วย โดยโอกาสที่บลจ.จะกลับเข้าไปลงทุนในพันธบัตรออสเตรเลียนิวซีแลนด์นั้น จะมีการกลับเข้าไปลงทุนในประเทศเหล่านี้แน่นอน แต่จะต้องรอจังหวะและโอกาสของการลงทุนว่าจะกลับเข้าไปลงทุนได้เมื่อไหร่ แต่เมื่อถามถึงความเสี่ยงในการกลับเข้าไปลงทุน เรื่องนี้จะต้องรอดูทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน เพราะการลงทุนในช่วงนี้ยังคงมีความเสี่ยงสูงอยู่กว่าการลงทุนในประเทศ
"อย่างไรก็ตาม การกลับเข้าไปลงทุนในประเทศดังกล่าว จะต้องจับจังหวะการลงทุนให้ดี เนื่องจากขณะนี้ผลต่างของอัตราดอกเบี้ย มีการบีบตัวของค่าเงินมากกว่าที่ผ่านมา โดยปัญหาเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเพียง 4- 6 ไตรมาส ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านพ้นมาแล้ว 2-3ไตรมาส จึงมองว่าสภาพเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี2552"นายอนุสรณ์ กล่าว
ทั้งนี้การจะจัดตั้งกองทุนเข้าไปลงทุนในทั้งสองประเทศนี้จะมีเพิ่มขึ้นหรือไม่ เรื่องนี้ต้องรอดูอัตราดอกเบี้ยระหว่างในประเทศกับประเทศก่อนว่ามีความแตกต่างกกันมากน้อยแค่ไหน หากมีความแตกต่างมาก โอกาสที่จะมีการจัดตั้งกองทุนออกไปลงทุนจะมีสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันหากมองถึงผลตอบแทนที่จะได้รับหลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว การลงทุนในประเทศทั้งสอง จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคค บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวถึงการลงทุนในประเทศ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ภายหลังจากที่ตัวเลขทางเศรษบกิจในไตรมาส 3ปีการหดตัวและมีแนวโน้วต่อเนื่องไปจนถึงปี 2552ว่า เรื่องนี้ ได้มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกได้มีการปรับตัวลดลงมาอย่างแรงและเร็วมาก จึงได้วางแผนหลบผลกระทบและหลีกเลี่ยงการลงทุนไปยังประเทศดังกล่าวด้วย และจากเหตุการณ์ที่สหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารเกิดการล้มละลาย รวมไปถึงการปรับลดพนักงานลง ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และส่งผลให้ค่าเงินทั่วโลกอ่อนค่าลงนั้น เกิดจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นค่าเงินกลางที่ทุกประเทศมีความต้องการจนทำให้ค่าเงินมีการแข็งค่าขึ้นมา และเมื่อนำค่าเงินมาเปรียบเทียบการลงทุนในประเทศจะพบว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่ง
"ในส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทสออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บริษัทมองว่าเป็นเพียงปัจจัยที่จะส่งผลกระทบเพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยคาดว่าในปี 2552 อัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 0% ดังนั้นการลงทุนในประเทศดังกล่าวจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ อีกทั้งเศรษฐกิจของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์จะสามารถฟิ้นตัวได้เร็วกว่าอเมริกาเพราะไม่ได้ได้รับผลกระทบโดยตรงเหมือนสหรัฐฯ"นายธีรนาถ กล่าว
นอกจากนี้ กองทุนของบริษัทที่เข้าไปลงทุนในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ผลตอบแทนอาจมีการปรับตัวลดลงบ้าง เนื่องจากนักลงทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ในต่างประเทศจะมีความวิตกกังวลเมื่อ เศรษฐกิจโลกเกิดการชะลอตัว อีกทั้งมีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนที่จะได้รับลดน้อยลงไปด้วย แต่สำหรับกองทุนของบริษัทมีการกำหนดผลตอบแทนตายตัว เรื่องนี้นักลงทุนจึงคลายความวิตกกังวลได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะจัดตั้งกองทุนเข้าไปลงทุนในทั้งสองประเทศนี้เพิ่มหรือไม่ เรื่องนี้ต้องรอดูอัตราดอกเบี้ยระหว่างในประเทศกับประเทศก่อนว่ามีความแตกต่างกกันมากน้อยแค่ไหน หากมีความแตกต่างมาก โอกาสที่จะมีการจัดตั้งกองทุนออกไปลงทุนจะมีสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันหากมองถึงผลตอบแทนที่จะได้รับหลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว การลงทุนในประเทศทั้งสอง จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้
ด้าน นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. บีที จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในประเทศ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ว่าเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัวไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน โดยการลงทุนในออสเตรเลีย หรือ นิวซีแลนด์ ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เป็นหลัก ดังนั้นการลงทุนจึงจำเป็นที่บริษัทจะต้องรอดูแนวโน้มการฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกา ยุโรปและจีน ซึ่งขณะนี้ได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
ทั้งนี้ การลงทุนในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เนื่องจากปัจจุบันค่าเงินที่ใช้ในประเทศเหล่านี้มีการปรับตัวลดลงอย่างมาก ส่งผลให้การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจลดน้อยลงไปด้วย แต่การประสานนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆเพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของตนเองนั้นจะส่งผลดีต่อประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อย่างไรก็ตามยังจำเป็นที่จะต้องรอการฟื้นตัวของสหรัฐฯ ว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วมากน้อยแค่ไหน เพราะหากฟื้นตัวได้เร็วจะส่งผลดีต่อประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะการสั่งซื้อและจัดส่งวัตถุดิบประเภทคอมมอดิตีให้กับสหรัฐและจีน
ขณะเดียวกัน เนื่องจากค่าเงินของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ได้ปรับตัวลดลงมามากว่าระดับที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้ความเสี่ยงจากค่าเงินได้ลดต่ำลงไปด้วย โดยโอกาสที่บลจ.จะกลับเข้าไปลงทุนในพันธบัตรออสเตรเลียนิวซีแลนด์นั้น จะมีการกลับเข้าไปลงทุนในประเทศเหล่านี้แน่นอน แต่จะต้องรอจังหวะและโอกาสของการลงทุนว่าจะกลับเข้าไปลงทุนได้เมื่อไหร่ แต่เมื่อถามถึงความเสี่ยงในการกลับเข้าไปลงทุน เรื่องนี้จะต้องรอดูทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน เพราะการลงทุนในช่วงนี้ยังคงมีความเสี่ยงสูงอยู่กว่าการลงทุนในประเทศ
"อย่างไรก็ตาม การกลับเข้าไปลงทุนในประเทศดังกล่าว จะต้องจับจังหวะการลงทุนให้ดี เนื่องจากขณะนี้ผลต่างของอัตราดอกเบี้ย มีการบีบตัวของค่าเงินมากกว่าที่ผ่านมา โดยปัญหาเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเพียง 4- 6 ไตรมาส ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านพ้นมาแล้ว 2-3ไตรมาส จึงมองว่าสภาพเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี2552"นายอนุสรณ์ กล่าว
ทั้งนี้การจะจัดตั้งกองทุนเข้าไปลงทุนในทั้งสองประเทศนี้จะมีเพิ่มขึ้นหรือไม่ เรื่องนี้ต้องรอดูอัตราดอกเบี้ยระหว่างในประเทศกับประเทศก่อนว่ามีความแตกต่างกกันมากน้อยแค่ไหน หากมีความแตกต่างมาก โอกาสที่จะมีการจัดตั้งกองทุนออกไปลงทุนจะมีสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันหากมองถึงผลตอบแทนที่จะได้รับหลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว การลงทุนในประเทศทั้งสอง จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน