นายกฯจะต้องมุ่งแก้ศก.เป็นลำดับแรก
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำบทวิเคราะห์เกี่ยวภาวะตลาดหุ้นไทยภายหลังที่นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ได้รับเลือกให้เป็น นายกรัฐมนตรีไว้อย่างน่าสนใจว่า บริษัทได้ปรับเป้าหมายกรอบการซื้อขายของดัชนีหุ้นไทยจากระดับ 380-450 จุดเป็น 430-500 จุดสำหรับเดือนมกราคมจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ดีขึ้นและคาดการณ์ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่เพื่อลดผลกระทบในภาคอุตสาหกรรมและการจ้างงานจากปัญหาการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมี upside ในการปรับตัวขึ้นต่อแม้จะปรับตัวขึ้นจากปลายเดือนพฤศจิกายน 12.41% มาอยู่ที่ระดับ 451.72 จุดในปัจจุบันก็ตาม
อายุของรัฐบาลขึ้นอยู่กับความสามารถในการฟื้นความเชื่อมั่น
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลยังคงต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้เข้าร่วมประชุมกับนักธุรกิจซึ่งจัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรม ซึ่งมองว่าเป็นสัญญาณที่ดี และเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะเร่งเตรียมนโยบายของตนและจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลาต่อมา ในมุมมองของเรา สิ่งนี้ต้องทำอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอายุของรัฐบาลชุดนี้ผูกติดอยู่กับความสามารถในการฟื้นความเชื่อมั่น, การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ และสยบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการได้มาซึ่งอำนาจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
คาดศก.ในปี52 ที่ระดับ 1.15% ถือว่าดูดีทีเดียว
ทีมงานของบริษัทได้เข้าพบกับนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) โดย ดร. ปัทม เธียรวิศิษฎ์สกุล กล่าวว่าประมาณอัตราการขยายตัวของ GDP ปี 2552 ที่ระดับ 3-4% ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนดูเหมือนไม่เป็นจริงแล้วในตอนนี้ หลังจากเหตุการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงความวุ่นวายทางการเมืองในเดือนธันวาคม เธอกล่าวว่าประมาณการอัตราการเจริญเติบโตของ KIMENG ที่ระดับ 1.15% สำหรับปี 2552 ดูดีทีเดียว
แต่ปัจจัยหลักยังคงเป็นเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองและการฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนกลับคืนมา เราคาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลง 1.22% ในไตรมาส 4/51 และหดตัว 3.43% ในไตรมาส 1/52 ก่อนที่จะฟื้นตัว 1.76%, 3.00% และ 3.41% ในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปีหน้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงตระหนักถึงมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์แนวอนุรักษ์นิยมที่ตอนนี้ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวในปีหน้า
อัตราการว่างงานดูเหมือนเพิ่มมากกว่า 2 เท่า
ดร. ปัทมา ให้สัมภาษณ์ว่าตัวเลขอัตราการว่างงานของทางราชการควรเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าของระดับปัจจุบันที่มีคนว่างงานอยู่ประมาณ 6 แสนคนเป็นประมาณ 1.3 ล้านคน หรือคิดเป็น 3.4 %ของจำนวนแรงงานของไทยทั้งหมด แม้อัตราดังกล่าวดูเหมือนต่ำหากเทียบกับมาตรฐานของฝั่งยุโรปหรือสหรัฐฯ แต่มันก็สร้างความตื่นตระหนกแก่คนไทยมาก เนื่องจากอัตราการจ้างงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการจ้างงานเต็มอัตรา ก่อนหน้านี้ เราได้มุ่งความสนใจไปที่การปลดพนักงานของภาคอุตสาหกรรมว่าจะมีมากน้อยเพียงไรหรือความต้องการสินค้าส่งออกจากต่างประเทศจะชะลอตัวลงมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ดร.ปัทมาเชื่อว่าการจ้างงานในภาคบริการค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคาดว่าจะหดตัว รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังคงอ่อนตัวและความจริงที่ภาคบริการใช้แรงงานที่มีทักษะไม่สูงนักเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นการง่ายกว่าที่จะปลดพนักงานออกไปก่อนแล้วค่อยจ้างกลับมาใหม่หากสถานการณ์โดยรวมดีขึ้น
มาตรการกระตุ้นศก.คาดว่ารวมมาตรการลดภาษีเข้าไปด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เตรียมรายงานที่มีคำแนะนำเรื่องการลดภาษีนิติบุคคลจากระดับ 30% เหลือ 25% เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขันกับนานาประเทศมากขึ้น,ช่วยลดแรงกดดันต่ออัตรากำไรลง รวมถึงช่วยลดแรงจูงใจในการปลดพนักงาน ประเด็นสำคัญที่มีการโต้เถียงในตอนนี้คือมาตรการลดภาษีนิติบุคคลควรใช้กับบริษัทที่สัญญาว่าจะไม่ปลดพนักงาน หรือควรใช้กับทุกบริษัทอย่างเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญอีกอันคือรัฐบาลสามารถประกาศพระราชกำหนดเพื่อใช้นโยบายเศรษฐกิจอันใหม่ รวมถึงนโยบายลดภาษีนิติบุคคลได้เลยตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 แล้วค่อยยื่นเรื่องแก่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อตราเป็นพระราชบัญญัติในภายหลัง เราเชื่อว่ามาตรการลดภาษีนิติบุคคลจะมีประสิทธิภาพและช่วยเพิ่มผลิตภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวมากกว่าการลดภาษีสรรพสามิตร (VAT) หรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การเร่งก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภค
เราเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรใส่ใจคือโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ที่ได้มีการวางแผนกันมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนๆ จะไม่มีการโต้เถียงกันมากนัก โดยปกติแล้วรัฐบาลจะเป็นผู้ลงทุนโครงการดังกล่าว 100% รวมถึงดูแลรับผิดชอบทั้งระบบ และในเวลาต่อมาก็เปิดให้เอกชนมาประมูลเพื่อนำไปบริหารจัดการต่อ ซึ่งเป็นโอกาสที่คุณอภิสิทธิ์สามารถเร่งดำเนินการทั้งในส่วนการก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเร่งให้มีการเปิดประมูลให้เร็วที่สุด ประเด็นสำคัญอีกอันคือคุณอภิสิทธิ์ได้รับการคาดหมายว่าจะแต่งตั้งคุณชวรัตน์ ชาญวีรกูล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ STEC และเป็นอดีตรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งจะสนับสนุนแนวคิดการเร่งพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ
นอกจากงบประมาณภาครัฐประจำปี 2551/52 ที่ระดับ 1.835 ล้านล้านบาทแล้ว รัฐบาลจะสามารถใช้เงินอีก 1 แสนล้านบาทที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้ามาใช้ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย นอกจากนี้ยังมีการขยายเวลาใช้มาตการจูงใจภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างการลดภาษีการโอนด้วย มาตการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ อาจรวมถึงการให้การอบรมและประกาศนียบัตรแก่แรงงานที่ถูกเลิกจ้าง รวมถึงรัฐบาลใหม่เองมีหน้าที่ในการวางแผนงบประมาณภาครัฐประจำปี 2552/53 ซึ่งจะเริ่มใช้ในเดือนตุลาคม 2552ด้วย รวมถึงรัฐบาลใหม่ยังมีความสามารถที่จะทำงบประมาณแบบขาดดุลได้ด้วย
รัฐบาลยังสามารถจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลได้
รัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้วหลักๆ มีเพดานที่จะใช้งบประมาณแบบขาดดุลได้อีกไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม เราไม่เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นเรื่องหลักสำหรับประเทศไทยซึ่งต้องการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะที่จัดเก็บงบประมาณได้น้อยลง โดยขณะนี้รัฐบาลมีหนี้เสาธารณะคิดเป็น 36% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าเพดานที่ระดับ 50% ประการที่สองโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคจะใช้สินค้าภายในประเทศเป็นหลัก และภายหลังอาจมีการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆบ้าง ประการที่สามเราเชื่อว่าโครงการสาธารณูปโภคจะสร้างผลตอบแทนในระยะยาวทั้งในรูปรายได้จากการจัดเก็บค่าโดยสาร, การพัฒนาทางเศรษฐกิจ รวมถึงช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศด้วย
ที่มา : ฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)