xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.จี้รัฐบาลเร่งลงทุน เมกะโปรเจกต์กระตุ้นศก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอกชนชี้ “รัฐบาล” ตัวแปรสำคัญ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเดินหน้า ระบุสเปกต้องหน้าตาดี-เชื่อถือได้ พร้อมแนะจับจังหวะช่วงราคาน้ำมัน-วัสดุก่อสร้างปรับลด เดินหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว ไม่ใช่เอาใจแต่รากหญ้า มองการลดอาร์/พี 1% ของธปท. ถือว่าเหนือความคาดหมาย แนะเลี่ยงลงทุนหุ้นกู้เอกชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งลีสซิ่ง การเงิน อสังหาริมทรัพย์และปิโตรเคมี

นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (MFC) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น รัฐบาลจะเป็นตัวแปรหลัก ถึงแม้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะมีส่วนสำคัญ แต่เราไม่สามารถควบคุมได้ว่าจะให้ออกมาเป็นอย่างไร เพราะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งเราเองก็หวังว่าเขาจะสามารถทำได้

อย่างไรก็ตาม บ้านเรามีปัจจัยภายในประเทศที่ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ดังนั้น จึงหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามา จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ แต่ก็ต้องเป็นทีมรัฐบาลที่หน้าตาดีและน่าเชื่อถือด้วย

ทั้งนี้ ในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับลดลง รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้าง ราคาเหล็กปรับตัวลดลง น่าจะเป็นโอกาสดีในการกระตุ้นลงทุนภาครัฐให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้า การลงทุนในโครงการขนส่ง (ลอจิสติกส์) ทั่วประเทศ ซึ่งการลงทุนเหล่านี้ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวได้ รวมทั้งยังก่อให้เกิดการจ้างแรงงานด้วย แต่การลงทุนดังกล่าวภาครัฐต้องทำให้โปร่งใสด้วย

"เราอยากเห็นรัฐบาลกล้าทำเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนต่างๆ ไม่ใช่ให้ความสำคัญแค่ระยะสั้น ด้วยการใส่เงินลงไปในระดับรากหญ้า ซึ่งเรื่องนี้ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ แต่มีผลแค่ระยะสั้นเท่านั้น เพราะถ้าเงินหมด ก็ไม่เกิดการใช้จ่าย เหมือนเป็นการให้ยาชั่วคราวเท่านั้น แต่การใช้จ่ายของภาครัฐเป็นตัวช่วยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้รอดูต่อไปว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม หากเกิดสูญญากาศทางการเมือง โอกาสที่เศรษฐกิจจะขยายตัวคงเป็นไปได้ยาก” นายศุภกรกล่าว

นายศุภกรกล่าวถึงการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลงมา 1% ว่า สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดตราสารหนี้ค่อนข้างมาก เพราะมีการคาดการณ์ว่าน่าจะปรับลดเพียง 0.5% เท่านั้น ดังนั้น การปรับลดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าทาง ธปท. ต้องการที่จะใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจน หลังจากที่เสรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวได้ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

นอกจากนี้ ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทยเอง ยังทำให้การใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชนหายไปด้วย และล่าสุดการปิดสนามบินสุวรรณภูมิยังจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ ธปท. จึงมีความจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจค่อนข้างแรง

อย่างไรก็ตาม การจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้าอีกหรือไม่นั้น ขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจจริงที่จะมีออกมาเป็นกุญแจสำคัญในการพิจารณาของ ธปท. ซึ่งหากเขาต้องการให้เงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจริงมากขึ้น อาจจะมีการลดการออกพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยลงในอนาคตอีกทางหนึ่งก็ได้

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้หลังจากนี้ นายศุภกรกล่าวว่า จากความกังวลต่อวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ตราสารหนี้มีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ต้องระวังการถูกปรับลดอันดับเครดิต (ดาวน์เกรด) ซึ่งในช่วงต่อไป จะเห็นภาคเอกชนระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้มากขึ้น เพราะการระดมทุนในต่างประเทศทำได้ยากเนื่องจากสภาพคล่องในระบบมีน้อย

ทั้งนี้ ในส่วนของเอ็มเอฟซีเอง ได้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนตราสารหนี้เอกชนมากขึ้น จากเดิมที่ลงทุนในระดับ Investment Grade หรือ BBB- ก็ขยับขึ้นเป็นระดับ A ขึ้นไป ขณะเดียวกัน ก็ต้องระวังการลงทุนในเซกเตอร์บางเซกเตอร์ด้วย โดยเฉพาะเซกเตอร์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและในประเทศ เช่น ลิสซิ่ง การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ปิโตรเคมี เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่สามารถลงทุนได้ เช่น โรงไฟฟ้า พลังงาน พาณิชย์ โรงแรมและอาหาร

นายกำพล อัศวกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนตัวแทนขาย บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ มีหลายประเทศน่าสนใจเพราะให้ดอกเบี้ยสูง แต่การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมาก เพราะปัจจุบันค่าเงินผันผวนทั่วโลก และไม่เป็นไปตามกลไกปกติ ดังนั้น ถึงแม้ผลตอบแทนจะสูงแต่หักค่าเงินไปแล้วอาจจะไม่คุ้มกัน ซึ่งในช่วงนี้ เราเองไม่แนะนำให้ลูกค้าลงทุนต่างประเทศ แต่ให้ลงทุนในประเทศแทน

ทั้งนี้ ในปีหน้ากองทุนตราสารหนี้ที่ออกไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท จะเริ่มทยอยครบอายุ ดังนั้น จะเห็นเงินลงทุนไหลกลับเข้ามามากขึ้น โดยเงินลงทุนเหล่านี้หากจะลงทุนต่อ แน่นอนความต้องการลงทุนในที่มีความเสี่ยงต่ำจะเพิ่มขึ้น ซึ่งพันธบัตรรัฐบาลอาจจะพอรองรับได้ แต่ส่วนหนึ่งอาจจะไหลเข้าไปลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดีด้วย

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ของบลจ.ทหารไทยในช่วงนี้ นายกำพลกล่าวว่า แทบจะไม่มีการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนด้วยซ้ำ โดยดึงเงินกลับมาหาพันธบัตรรัฐบาลหมด ซึ่งในช่วงสั้นๆนี้ หากหลีกเลี่ยงหุ้นกู้เอกชนได้ก็หลีกเลี่ยง เห็นได้จากตอนนี้เราหยุดขายกองทุนที่ลงทุนในตั๋วเงินของธนาคารพาณิชย์ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า จะกลับมาประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่ายังลงทุนได้หรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น