บลจ.ฟิลลิป มั่นใจพอร์ต "กองทุนเปิด ฟิลิป หุ้นระยะยาว" ปลอดภัยแล้ว เผยยังไม่ปรับพอร์ตแม้ภาวะลงทุนโดยรวมผันผวนหนัก ชี้อนาคต สภาพเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน แนะลงทุนแบบซื้อ-ขายระยะสั้น รับผลตอบแทนในระยะนี้
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนในกองทุนหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในขณะนี้ ถือได้ว่ามีความยากลำบากมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจกิจที่กำลังชะลอตัว ส่งผลให้การจับทิศทางหรือแนวโน้มการลงทุนเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งนี้ กองทุนเปิด ฟิลิป หุ้นระยะยาว (P-LTF) ซึ่งเป็นกองทุนระยะยาวที่ลงทุนในหุ้นเช่นกัน ขณะนี้ไม่ได้มีการปรับพอร์ตหรือสัดส่วนการลงทุนของกองทุนแต่อย่างใด โดยกองทุนยังมีปริมาณและสัดส่วนการลงทุนเท่าเดิม ซึ่งบริษัทมองว่าการลงทุนในหุ้นที่มีอยู่แล้วค่อนข้างที่จะให้ความปลอดภัยแก่นักลงทุนแล้ว อีกทั้งจำนวนหุ้นที่มีอยู่นั้นเรามองว่าเป็นบริษัทที่นักลงทุนสามารถจะรับความเสี่ยงได้
นายวรรธนะกล่าวต่อว่า นักลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนกับบริษัทใหญ่ที่มีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เป็นฐานให้อยู่แล้ว โดยมองข้าม บลจ.เล็กๆ ไป แต่ที่ผ่านมา เรามีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาร่วมลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยนักลงทุนเหล่านั้นได้ทำการศึกษาข้อมูลวิธีการบริหารของเรามาอย่างละเอียด ก่อนที่จะตัดสินเข้ามาลงทุนในกองทุนของเราเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ เราก็มีนักลงทุนรายเก่า เข้ามาไถ่ถอนหน่วยลงทุนคืนเพื่อไปลงทุนอย่างอื่นแทนก็มี จึงทำให้ยอดเอ็นเอวีของกองทุนโตไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของเราจะเน้นสร้างความปลอดภัยให้กับเม็ดเงินของนักลงทุนเป็นหลัก โดยที่ผ่านมากองทุนตราสารหนี้ของเราเป็นกองทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนเหนือกองทุนตราสารหนี้กองอื่นๆ
ส่วนแนวโน้มการลงทุนหลังจากนี้ นายวรรธนมองว่า ในอนาคตสภาพเศรษฐกิจจะไม่ดีขึ้นกว่าปัจจุบันนี้ โดยการลงทุนควรที่จะเน้นการซื้อขายระยะสั้น อาจทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะนี้ เนื่องมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ตลาดคาดเดาทิศทางได้ยากมาก ว่าจะปรับขึ้นหรือปรับลดลง ส่งผลให้นักลงทุนไม่มีความมั่นใจที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดแม้ว่าราคาหุ้นชั้นนำของตลาดจะปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าราคาพื้นฐานมาก
สำหรับกองทุนเปิดฟิลลิป หุ้นระยะยาว (P-LTF) มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และ/หรือมีการเติบโตสูง(growth stocks) ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์อื่นหรือการหาดอกหาผลโดยวิธีอื่น ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต.ประกาศกำหนดหรือให้ความเห็นชอบให้กองทุนรวมประเภทนี้ลงทุนได้ และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยง(hedgingXจากการลงทุน และอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร(structured Notes) ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต.หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.กำหนดหรือได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.ให้ลงทุนหรือมีไว้ได้เพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุน
โดยสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน 5 อันดับแรกของผู้ออกตราสารที่กองทุนลงทุน อันดับ1. บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลี่ยม จำกัด (มหาชน)11.08% อันดับ2.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส 9.92% อันดับ2 บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) 9.81% อันดับ4.ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)9.22%และอันดับสุดท้าย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 9.07% โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนดังนี้ กลุ่มทรัพยากร/พลังงานและสาธารณูปโภค 36.34% กลุ่มเงินฝากสถาบันการเงิน 26.58% กลุ่มธุรกิจการเงิน/ธนาคาร 25.99% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร9.92% และธุรกิจ/พาณิชย์1.23%
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนในกองทุนหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในขณะนี้ ถือได้ว่ามีความยากลำบากมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจกิจที่กำลังชะลอตัว ส่งผลให้การจับทิศทางหรือแนวโน้มการลงทุนเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งนี้ กองทุนเปิด ฟิลิป หุ้นระยะยาว (P-LTF) ซึ่งเป็นกองทุนระยะยาวที่ลงทุนในหุ้นเช่นกัน ขณะนี้ไม่ได้มีการปรับพอร์ตหรือสัดส่วนการลงทุนของกองทุนแต่อย่างใด โดยกองทุนยังมีปริมาณและสัดส่วนการลงทุนเท่าเดิม ซึ่งบริษัทมองว่าการลงทุนในหุ้นที่มีอยู่แล้วค่อนข้างที่จะให้ความปลอดภัยแก่นักลงทุนแล้ว อีกทั้งจำนวนหุ้นที่มีอยู่นั้นเรามองว่าเป็นบริษัทที่นักลงทุนสามารถจะรับความเสี่ยงได้
นายวรรธนะกล่าวต่อว่า นักลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนกับบริษัทใหญ่ที่มีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เป็นฐานให้อยู่แล้ว โดยมองข้าม บลจ.เล็กๆ ไป แต่ที่ผ่านมา เรามีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาร่วมลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยนักลงทุนเหล่านั้นได้ทำการศึกษาข้อมูลวิธีการบริหารของเรามาอย่างละเอียด ก่อนที่จะตัดสินเข้ามาลงทุนในกองทุนของเราเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ เราก็มีนักลงทุนรายเก่า เข้ามาไถ่ถอนหน่วยลงทุนคืนเพื่อไปลงทุนอย่างอื่นแทนก็มี จึงทำให้ยอดเอ็นเอวีของกองทุนโตไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของเราจะเน้นสร้างความปลอดภัยให้กับเม็ดเงินของนักลงทุนเป็นหลัก โดยที่ผ่านมากองทุนตราสารหนี้ของเราเป็นกองทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนเหนือกองทุนตราสารหนี้กองอื่นๆ
ส่วนแนวโน้มการลงทุนหลังจากนี้ นายวรรธนมองว่า ในอนาคตสภาพเศรษฐกิจจะไม่ดีขึ้นกว่าปัจจุบันนี้ โดยการลงทุนควรที่จะเน้นการซื้อขายระยะสั้น อาจทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะนี้ เนื่องมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ตลาดคาดเดาทิศทางได้ยากมาก ว่าจะปรับขึ้นหรือปรับลดลง ส่งผลให้นักลงทุนไม่มีความมั่นใจที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดแม้ว่าราคาหุ้นชั้นนำของตลาดจะปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าราคาพื้นฐานมาก
สำหรับกองทุนเปิดฟิลลิป หุ้นระยะยาว (P-LTF) มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และ/หรือมีการเติบโตสูง(growth stocks) ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์อื่นหรือการหาดอกหาผลโดยวิธีอื่น ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต.ประกาศกำหนดหรือให้ความเห็นชอบให้กองทุนรวมประเภทนี้ลงทุนได้ และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยง(hedgingXจากการลงทุน และอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร(structured Notes) ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต.หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.กำหนดหรือได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.ให้ลงทุนหรือมีไว้ได้เพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุน
โดยสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน 5 อันดับแรกของผู้ออกตราสารที่กองทุนลงทุน อันดับ1. บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลี่ยม จำกัด (มหาชน)11.08% อันดับ2.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส 9.92% อันดับ2 บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) 9.81% อันดับ4.ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)9.22%และอันดับสุดท้าย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 9.07% โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนดังนี้ กลุ่มทรัพยากร/พลังงานและสาธารณูปโภค 36.34% กลุ่มเงินฝากสถาบันการเงิน 26.58% กลุ่มธุรกิจการเงิน/ธนาคาร 25.99% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร9.92% และธุรกิจ/พาณิชย์1.23%