"จุมพล" เผย บลจ.ไอเอ็นจี ยกเลิกการขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย เอ็มเอ็ม 3M9 เเล้ว เหตุกนง.ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเเรงถึง 1% ส่งผลให้ผลตอบกองทุนไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ จากเดิม 3.3%ปรับเป็น 2.4% ล่าสุดเดินหน้าอัดเเคมเปญ LTF-RMF ส่งท้ายปี พร้อมเเนะช่วงนี้เหมาะเก็บหุ้นดีราคาถูกเข้าพอร์ต
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ได้ยกเลิกการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอ็มเอ็ม 3M9 ที่เสนอขายครั้งเเรกเเละครั้งเดียวในวันที่ 1-8 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักที่บลจ.ยกเลิกการขายหน่วยลงทุนเนื่องจาก ช่วงที่บลจ.เปิดเสนอข่ายหน่วยลงทุนนั้นเป็นช่วงรอยต่อที่คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1% เหลือ 2.75% จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 3.75% โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกนง.ในครั้งนี้ ถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างมาก ทำให้ผลอตอบเเทนที่บลจ.ประมาณการณ์ไว้ปรับลดลง จากเดิมที่ให้ผลตอบแทนโดยประมาณอยู่ที่ 3.3% ต่อปี เปลี่ยนมาอยู่ที่ 2.4% ต่อปี ทางบลจ.จึงชะลอขายหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าวไปก่อน
"กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอ็มเอ็ม 3M9 คงต้องชะลอออกไปก่อน โดยช่วงนี้คงไม่ได้ขายกองทุนตราสารหนี้เเล้ว เพราะอีกไม่กี่วันก็จะเข้าไปใหม่ ซึ่งเราคงต้องรอขายหน่วยลงทุนปีหน้า ซึ่งตอนนี้บลจ.ได้ออกเเคมเปญเอาใจลูกค้า กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เเละกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เนื่องจากเรามองว่า ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต" นายจุมพลกล่าว
สำหรับเเคมเปญที่บลจ.ทำร่วมกับธนาคารทหารไทยคือ แคมเปญ TMB BUDDY B/E + LTF โดยนำเสนอการออมในรูปตั๋วแลกเงิน 3 เดือนที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากทั่วไป สำหรับลูกค้าเพื่อลงทุนคู่กับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของ บลจ.ไอเอ็นจี ในจำนวนที่เท่ากัน ขั้นต่ำประเภทละตั้งแต่ 50,000-500,000 บาท นอกจากผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนในกองทุน LTF แล้ว ยังจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากตั๋ว B/E ของธนาคารทหารไทย สูงถึง 5.50% ต่อปี นอกจากนี้ผู้ที่ลงทุนใน LTF ตั้งเเต่ 50,000 บาทขึ้นไปรับบัตรเติมน้ำมัน ปตท. มูลค่า 300 บาท ส่วนผู้ที่ลงทุนใน RMF 50,000 บาทขึ้นไปรับบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 100 บาท โดยเเคมเปญนี้จะใช้ได้ถึง 30 ธันวาคม 2551
นายจุมพล กล่าวอีกว่า ปัจจุบันกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ภายใต้การบริหารของ บลจ.ไอเอ็นจี มีจำนวนทั้งสิ้น 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย บรรษัทภิบาล หุ้นระยะยาว, กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย Big Cap ปันผล หุ้นระยะยาว, กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย 70/30 ปันผล หุ้นระยะยาว และกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว
ทั้งนี้ แต่ละกองทุนต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนได้มากขึ้น โดยกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย 70/30 ปันผล หุ้นระยะยาว จะช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้น ขณะที่กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว จะเน้นลงทุนในหุ้นคุณค่า หรือ Value Stock ส่วนกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย บรรษัทภิบาล หุ้นระยะยาว จะเน้นการลงทุนหุ้นที่มีบรรษัทภิบาลดี และกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย Big Cap ปันผล หุ้นระยะยาว มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมขนาดใหญ่
โดยก่อนหน้านี้นายจุมพล ให้ความเห็นการลดดอกเบี้ยของ กนง.ว่า แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะปรับลดลงมามากก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ได้คาดการณ์กันเอาไว้ โดยเป็นไปตามสภาพของตลาดที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตของสถาบันการเงินที่ประเทศต่างๆทั่วโลกได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 1% นี้ ถือเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะกลางของภาคส่วนต่างๆได้ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง.ในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการฉีดยาแรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่า และเชื่อว่าน่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยที่มากและครั้งเดียว
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ได้ยกเลิกการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอ็มเอ็ม 3M9 ที่เสนอขายครั้งเเรกเเละครั้งเดียวในวันที่ 1-8 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักที่บลจ.ยกเลิกการขายหน่วยลงทุนเนื่องจาก ช่วงที่บลจ.เปิดเสนอข่ายหน่วยลงทุนนั้นเป็นช่วงรอยต่อที่คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1% เหลือ 2.75% จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 3.75% โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกนง.ในครั้งนี้ ถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างมาก ทำให้ผลอตอบเเทนที่บลจ.ประมาณการณ์ไว้ปรับลดลง จากเดิมที่ให้ผลตอบแทนโดยประมาณอยู่ที่ 3.3% ต่อปี เปลี่ยนมาอยู่ที่ 2.4% ต่อปี ทางบลจ.จึงชะลอขายหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าวไปก่อน
"กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอ็มเอ็ม 3M9 คงต้องชะลอออกไปก่อน โดยช่วงนี้คงไม่ได้ขายกองทุนตราสารหนี้เเล้ว เพราะอีกไม่กี่วันก็จะเข้าไปใหม่ ซึ่งเราคงต้องรอขายหน่วยลงทุนปีหน้า ซึ่งตอนนี้บลจ.ได้ออกเเคมเปญเอาใจลูกค้า กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เเละกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เนื่องจากเรามองว่า ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต" นายจุมพลกล่าว
สำหรับเเคมเปญที่บลจ.ทำร่วมกับธนาคารทหารไทยคือ แคมเปญ TMB BUDDY B/E + LTF โดยนำเสนอการออมในรูปตั๋วแลกเงิน 3 เดือนที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากทั่วไป สำหรับลูกค้าเพื่อลงทุนคู่กับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของ บลจ.ไอเอ็นจี ในจำนวนที่เท่ากัน ขั้นต่ำประเภทละตั้งแต่ 50,000-500,000 บาท นอกจากผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนในกองทุน LTF แล้ว ยังจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากตั๋ว B/E ของธนาคารทหารไทย สูงถึง 5.50% ต่อปี นอกจากนี้ผู้ที่ลงทุนใน LTF ตั้งเเต่ 50,000 บาทขึ้นไปรับบัตรเติมน้ำมัน ปตท. มูลค่า 300 บาท ส่วนผู้ที่ลงทุนใน RMF 50,000 บาทขึ้นไปรับบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 100 บาท โดยเเคมเปญนี้จะใช้ได้ถึง 30 ธันวาคม 2551
นายจุมพล กล่าวอีกว่า ปัจจุบันกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ภายใต้การบริหารของ บลจ.ไอเอ็นจี มีจำนวนทั้งสิ้น 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย บรรษัทภิบาล หุ้นระยะยาว, กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย Big Cap ปันผล หุ้นระยะยาว, กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย 70/30 ปันผล หุ้นระยะยาว และกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว
ทั้งนี้ แต่ละกองทุนต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนได้มากขึ้น โดยกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย 70/30 ปันผล หุ้นระยะยาว จะช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้น ขณะที่กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว จะเน้นลงทุนในหุ้นคุณค่า หรือ Value Stock ส่วนกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย บรรษัทภิบาล หุ้นระยะยาว จะเน้นการลงทุนหุ้นที่มีบรรษัทภิบาลดี และกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย Big Cap ปันผล หุ้นระยะยาว มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมขนาดใหญ่
โดยก่อนหน้านี้นายจุมพล ให้ความเห็นการลดดอกเบี้ยของ กนง.ว่า แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะปรับลดลงมามากก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ได้คาดการณ์กันเอาไว้ โดยเป็นไปตามสภาพของตลาดที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตของสถาบันการเงินที่ประเทศต่างๆทั่วโลกได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 1% นี้ ถือเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะกลางของภาคส่วนต่างๆได้ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง.ในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการฉีดยาแรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่า และเชื่อว่าน่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยที่มากและครั้งเดียว