xs
xsm
sm
md
lg

ลงทุนอย่างไร ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมานี้ ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของทั้งตลาดตราสารหนี้ และ ตลาดตราสารทุน มีความผันผวนสูงเหลือเกิน ในฝั่งของตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทย (Bond Yield) ได้ปรับตัวสูงขึ้น ในไตรมาสที่ 2 และกลับลดลงมาในไตรมาสที่ 3 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จนวิ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในเดือน ก.ค. ปีนี้ และปรับลดลงมาอย่างเร็วในไตรมาสที่ 3 จาก 2 ปัจจัยหลัก คือราคาน้ำมัน และ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จนธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมใจกันประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ส่วนประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่า ธปท. จะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ประมาณ 3.25% ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2009 เพื่อให้สอดรับกับภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งหากเป็นไปตามคาด อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในช่วงอายุ 1-3 ปีก็น่าจะปรับลดลงจากระดับปัจจุบัน ดังนั้นหากจะลงทุนในตราสารหนี้ก็ควรเริ่มลงทุนก่อนที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเน้นลงทุนในตราสารที่มีอายุ 1-3 ปี และมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดีเช่น A- ขึ้นไป เนื่องจากในภาวะปัจจุบัน ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนระหว่างตราสารหนี้ภาคเอกชนกับตราสารหนี้ภาครัฐ (Credit Spread) เพิ่มสูงขึ้น ผู้ลงทุนจึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างนี้ แต่ก็ควรพิจารณาเลือกตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดี เพื่อความอุ่นใจว่าเราจะได้รับเงินต้นคืน

สำหรับการลงทุนในตราสารทุนใครจะเชื่อว่าปัจจุบันเราซื้อขายหุ้นไทยกันที่ราคาประมาณ 90% ของมูลค่าทางบัญชี (P/B ~ 0.9 เท่า) ซึ่งเป็นระดับเดียวกับในช่วงปี 1997-1998 ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานตอนนี้ดีกว่าตอนปี 1997-1998 มาก แต่การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น นั้นได้ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาค่อนข้างแรง อย่างไรก็ดีเราก็ยังมีความหวังอยู่บ้างเมื่อนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่าจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นโลกน่าจะอยู่ในช่วงปี 2009 นี้

ขณะเดียวกันจะลงทุนเมื่อไหร่นั้นก็ขออ้างถึงจิตวิทยาการลงทุนที่เราคุ้นเคยกันดี (ภาพประกอบ) ถ้าถามว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนของภาพ หลายท่านคงเห็นด้วยว่าเราน่าจะอยู่บริเวณเส้นประใกล้ตัวอักษร E โดยทั่วไปผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกสบายใจที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงปลายขาขึ้นของตลาดในจุด B และ C ซึ่งเป็นจุดที่มีความเสี่ยงสูงในการลงทุน เมื่อตลาดปรับลงมาอย่างมากในจุด D เราก็เริ่มเครียด และเมื่อตลาดปรับตัวลงมาถึงจุด E เราก็เริ่มรู้สึกหมดหวังเกินกว่าที่จะลงทุน ทั้งๆที่นั่นเป็นช่วงเวลาลงทุนที่ดีที่สุด ดังที่ Warren Buffet เคยกล่าวไว้ว่า “...We simply attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful.” ก็เป็นคำแนะนำที่ฟังดูเข้าทีนะคะ ส่วนจะลงทุนที่ไหนดี อยู่ในประเทศ หรือจะไปลงทุนต่างประเทศดี ก็ต้องถามว่า ประเทศไหนที่คุณคิดว่าเมื่อตลาดฟื้นแล้วจะ rebound แรงกว่ากัน ระหว่างประเทศที่มีคาดการณ์ GDP Growth ในปี 2009 ที่ 7-8% กับ 1-2% หรือประเทศที่ GDP Growth ติดลบ?

คำตอบก็ตรงไปตรงมา ถ้าอย่างนั้นก็ลองมาดูกันว่าประเทศใดมีคาดการณ์ GDP Growth ในปี 2009 ที่น่าสนใจบ้าง สหรัฐอเมริกา -0.6% อังกฤษ -1.8% ญี่ปุ่น 0.1% ละตินอเมริกา 2.3% เอเชียแปซิฟิก 4.9% นำโดย จีน 7.5% และอินเดีย 6.0% ส่วนประเทศไทย ว่ากันว่าน่าจะอยู่ประมาณ 4% แต่ Dividend Yield เกิน 7% แถมตอนนี้ซื้อขายกันที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี เท่านี้คงพอได้คำตอบนะคะว่าควรจะแบ่งเงินไปลงทุนในตลาดไหน เท่าไหร่ดี

สำหรับท่านที่จะไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศนั้นก็ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า หากเลือกลงทุนในกองทุนประเภทที่อ้างอิงผลตอบแทนของกองทุนกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของประเทศที่จะลงทุน (Index Fund) ก็น่าจะติดตามได้ง่ายกว่ากองทุนประเภทที่เข้าไปเลือกซื้อหุ้นเป็นตัวๆ เพราะอยู่ไกลหูไกลตา จึงยากต่อการติดตามผลประกอบการของหุ้นเป็นรายบริษัท ในขณะที่หากลงทุนใน Index Fund นั้นเราสามารถวิเคราะห์แนวโน้มผลตอบแทนของกองทุนจากภาพรวมเศรษฐกิจของแต่ละประเทศซึ่งเราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายกว่า

โดยท่านผู้ลงทุนที่สนใจการลงทุนในต่างประเทศก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนผ่าน กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ และ ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย เพื่อการเลี้ยงชีพ ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศจีนและอินเดียผ่านกองทุนรวม ETF Index Fund ในต่างประเทศ ซึ่งท่านสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-633-7777 ทุกวันในเวลาทำการ

ที่มา : ธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด-ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ทิสโก้

กำลังโหลดความคิดเห็น