“กองทุนรวม MNIT 2 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถลงทุนเป็นเวลา 3- 5 ปีขึ้นไป โดยคาดหวังผลตอบแทนคงที่ในรูปแบบเงินปันผล ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงสภาวะเงินเฟ้อ”
การลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง เป็นเรื่องที่ไม่แปลกหากนักลงทุนจะชื่นชอบการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แม้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นจะต่ำไปด้วย แต่ยังเป็นที่พอใจของทุกคนหลากเงินลงทุนยัอยู่เต็มจำนวน
อย่างไรก็ตาม ยังมีการลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนสูง และมีความเสี่ยงต่ำ (แม้จะไม่ให้ยิลด์ที่โดเด่นเท่ากองทุนหุ้น ซึ่งมีความเสี่ยงที่สูงตาม) นั่นคือการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ผ่านมาได้มีผู้เชี่ยวชาญในวงการอุตสาหกรรมกองทุนรวมออกมาแสดงควมคิดเห็นถึงแนวโน้มและโอกาสที่ดีหากเลือกลงทุนในกองทุนรวมอสังหากันไปแล้ว
วันนี้ “ทีมงานกองทุนรวม”ขอนำเสนอ อีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาฯ นั่นคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี – นิชดาธานี 2 (MNIT2)ซึ่งบริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
จากข้อมูลรายละเอียดของโครงการดังกล่าว พบว่า กองทุนรวม MNIT2 มีมูลค่า 1,329 ล้านบาท ไม่กำหนดอายุโครงการ เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่มีกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย ในที่ดินและบ้านเดี่ยวของโครงการ The Regent ที่นิชดาธานี แจ้งวัฒนะ โครงการบ้านเดี่ยวบนทำเลที่ตั้งชุมชนชาวต่างชาติ ซึ่งจะเปิดขายครั้งในวันนี้ (17พ.ย.) - ถึง 1 ธันวาคม 2551
โดย MNIT 2จะลงทุนโดยซื้อกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ (Freehold) ในทรัพย์สินประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนพื้นที่ใช้สอย 399 และ 435 ตารางเมตรต่อหลัง ราคาเฉลี่ยต่อหลัง 17.1 ล้านบาท จำนวนรวม 76 หลัง ของโครงการThe Regent at Nichada Thani ที่เป็นโครงการใหม่ล่าสุดของโครงการนิชดาธานี ซึ่งปัจจุบันสร้างแล้วกว่า 80% และคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนมกราคม 2552
จุดเด่นของกองทุนรวม MNIT 2 คือผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดยกองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิของกองทุน จากการปล่อยให้ บริษัทนิชดา พร็อพเพอร์ตี้ เข้ามาทำสัญญาเช่าบ้านเดี่ยวทั้งโครงการเป็นระยะเวลา 7 ปี 2 เดือน และกองทุนรอรับผลตอบแทนเป็นค่าเช่ารายเดือนตามที่ตกลงไว้
ทั้งนี้กองทุนรวม MNIT2 ยังมีการป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยให้บริษัทนิชดา พร็อพเพอร์ตี้ ทำสัญญาเช่าโดยมีการวางหลักประกัน 9 เดือนของค่าเช่า นอกจากนี้ การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในที่ดินและอาคาร (Freehold)แล้ว ทำให้กองทุนยังมีโอกาสที่จะได้รับมูลค่าเพิ่มในทรัพย์สิน ด้วยสิทธิที่จะสามารถขายทรัพย์สินของกองทุนได้หลังจากปีที่ 3 เมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนโดยไม่ถือเป็นการผิดสัญญาเช่ากับบริษัทนิชดา พร็อพเพอร์ตี้
นอกจากนี้ นักลงทุนทุกคนต้องมองถึงศักยภาพและความสำคัญประการหนึ่งด้วยว่า โครงการนิชดาธานี คือการเป็นโครงการที่พักอาศัยนานาชาติแห่งแรกในไทย ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างชุมชนชาวต่างชาติ (Multi-national Community) ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ผู้ซึ่งต้องการที่พักอาศัยที่มีมาตรฐานคุณภาพชีวิตสำหรับตนเองและครอบครัวใกล้เคียงกับที่เคยอยู่อาศัยในประเทศบ้านเกิด ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติพื้นที่สีเขียว พร้อมทั้งมีเพื่อนบ้านที่เป็นชาวต่างชาติที่มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกันโดยมีโรงเรียนนานาชาติ International School Bangkok (ISB) เป็นจุดดึงดูดสำคัญ
ขณะเดียวกันข้อมูลจากผู้บริหารเอ็มเอฟซี ในวันแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ มีสิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่ง นั่นคือ ปริมาณผู้พักอาศัยในโครงการส่วนใหญ่มีความมั่นคงในหน้าที่การงานสูง เพราะเป็นพนักงานขององค์กรขนาดใหญ่ ที่จะไม่มีผลกระทบจากเรื่องวิกฤตการเงินเกิดขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงอาทิ ผู้ที่ทำงานในธุรกิจการเงินและประกันในโครงการนั้นมีไม่มาก อีกทั้งคาดการณ์กันว่าผลตอบแทนที่จะได้รับจะสูงกว่าโครงการแรกเสียด้วย
“กองทุนรวม MNIT 2 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถลงทุนเป็นเวลา 3- 5 ปีขึ้นไป โดยคาดหวังผลตอบแทนคงที่ในรูปแบบเงินปันผล ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ นับเป็นการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงสภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ไทย หรือลงทุนในตราสารหนี้ แต่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนสูง”พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี ให้ความเห็น
โดย กรรมการผู้จัดการเอ็มเอฟซี ให้มุมมองการลงทุนในช่วงนี้ว่า ท่ามกลางสภาวะความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกในปัจจุบัน บริษัทได้เสนอทางเลือกใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางการลงทุนให้กับนักลงทุน
ขณะที่ สมพร บุรินทรารธิกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในปี 2552 ว่า ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ต่อไปสภาพคล่องจะมีน้อยลง กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีการจัดตั้งใหม่ และการเพิ่มทุนของกองทุนเดิมจะเกิดขึ้นได้น้อย เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อที่ลดลงจะส่งผลต่อทั้งอุปสงค์และอุปทาน โดยการพัฒนาโครงการใหม่จะน้อยลง ส่วนโครงการที่ยังสร้างไม่เสร็จอาจหยุดชะงัก หรือหยุดโครงการโดยสิ้นเชิง
ส่วนการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาฯ นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของรายได้และโครงสร้างในการจัดการทรัพย์สินของกองทุนให้มากขึ้น รวมถึงปัจจัยในเรื่องสิทธิตามกฏหมายในการครอบครองสินทรัพย์ การสร้างดุลยภาพระหว่างความเสี่ยงในการลงทุนและการเติบโตของสินทรัพย์
ดังนั้นหากมีกองทุนรวมอสังหาดีสัก 1 โครงการ มาให้เลือกนักลงทุนทั้งหลายก็ไม่ควรมองข้ามความสนใจนี้ไปเด็ดขาด
*สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี – นิชดาธานี 2 (MNIT2) สามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 1,000 บาท เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งเดียว โดยสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)โทร. 0-2649-2000 กด 2 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน หรือ กด 0 ติดต่อ Client Service หรือที่ www.mfcfund.com