บลจ.เอ็มเอฟซี ชูความมุ่งมั่นและตั้งใจในการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ล่าสุด บริษัทท่าอากาศยานไทย ยอมรับผลงานวางใจให้บริหารจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงานบริษัทฯ ซึ่งจดทะเบียนแล้ว อีกวาระหนึ่ง
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้ต่อสัญญาแต่งตั้งให้บลจ. เอ็มเอฟซี เป็นบริษัทจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนแล้วต่อเนื่องอีกวาระหนึ่ง ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท ของสมาชิกจำนวน 3,849 คน โดยเป็นการบริหารร่วมกับอีกบลจ. ซึ่งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวจะเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินในอนาคตยามเกษียณของพนักงานบริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ
สำหรับหลักการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานบริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ ซึ่งจดทะเบียนแล้ว นั้น บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) จะคำนึงถึงความต้องการและวัตถุประสงค์ของกองทุนเป็นสำคัญ รวมทั้งมีนโยบายในการประสานงานกับคณะกรรมการการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุน และการบริหารกองทุนเพื่อประโยชน์สูงสุดของสมาชิกเป็นหลัก ซึ่งเอ็มเอฟซีถือเป็นนโยบายสำคัญที่ยึดถือในการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาโดยตลอด
นายพิชิต กล่าวต่อไปว่า ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการลงทุนยาวนานกว่า 33 ปี อีกทั้งทีมงานที่อยู่กับการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากว่า 24 ปี ทำให้เอ็มเอฟซีมีประสบการด้านการดำเนินการรูปแบบ Employee’s choice จึงได้รับความไว้วางใจให้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจจำนวน 10 แห่ง โดยปัจจุบันเอ็มเอฟซีบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 41 กองทุน มูลค่ากองทุนกว่า 55,000 ล้านบาท จำนวนนายจ้าง 534 ราย และจำนวนสมาชิกกว่า 165,000 ราย มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2551) โดยมีอัตราการเติบโตร้อยละ 7.8 เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2550 ซึ่งมีมูลค่ากว่า 51,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ระบุว่าเดือนสิงหาคม 2551 ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งระบบมีจำนวนเงินทั้งสิ้น 4.67 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,368.25 ล้านบาท หรือ 2.94% จากจำนวนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งระบบในเดือนกรกฎาคม 2551 ที่มีจำนวนเงิน 4.54 แสนล้านบาท และคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 25,865.19 ล้านบาท หรือ 5.86% จากช่วงต้นปีที่ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีจำนวนเงินกองทุนทั้งสิ้น 4.41 แสนล้านบาท
โดย 5 อันดับบริษัทจัดการที่มีจำนวนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสูงที่สุดได้แก่ อันดับ 1 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด ที่มีเงินกองทุนในการบริหารจัดการจำนวน 66,336.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,712.55 ล้านบาท หรือ 2.65% จากเดือนก่อนหน้าที่มีจำนวนเงิน 64,624.35 ล้านบาท , อันดับ 2 บลจ.กรุงไทย มีเงินกองทุนในการบริหารจัดการประจำเดือนสิงหาคม 64,001.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,828.51 ล้านบาท หรือ 2.94% จากเดือนกรกฎาคมที่มีเงินกองทุน 62,172.52 ล้านบาท , อันดับ 3 บลจ. เอ็มเอฟซี มีเงินกองทุน 55,102.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,091.89 ล้านบาท หรือ 2.02% จากเดือนก่อนหน้าที่มีจำนวนเงิน 54,010.32 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 4 คือ บลจ. ไทยพาณิชย์ ซึ่งเดือนสิงหาคมมีจำนวนเงินกองทุน 52,651.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,671.84 ล้านบาท หรือ 14.51% จากเดือนกรกฎาคมที่มีจำนวนเงิน 45,979.89 ล้านบาท , อันดับ 5 บลจ. กสิกรไทย โดยมีเงินกองทุน 52,314.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,239.18 ล้านบาท หรือ 2.43% จากเดือนก่อนหน้าที่มีจำนวนเงิน 51,075.64 ล้านบาท
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้ต่อสัญญาแต่งตั้งให้บลจ. เอ็มเอฟซี เป็นบริษัทจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนแล้วต่อเนื่องอีกวาระหนึ่ง ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท ของสมาชิกจำนวน 3,849 คน โดยเป็นการบริหารร่วมกับอีกบลจ. ซึ่งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวจะเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินในอนาคตยามเกษียณของพนักงานบริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ
สำหรับหลักการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานบริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ ซึ่งจดทะเบียนแล้ว นั้น บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) จะคำนึงถึงความต้องการและวัตถุประสงค์ของกองทุนเป็นสำคัญ รวมทั้งมีนโยบายในการประสานงานกับคณะกรรมการการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุน และการบริหารกองทุนเพื่อประโยชน์สูงสุดของสมาชิกเป็นหลัก ซึ่งเอ็มเอฟซีถือเป็นนโยบายสำคัญที่ยึดถือในการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาโดยตลอด
นายพิชิต กล่าวต่อไปว่า ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการลงทุนยาวนานกว่า 33 ปี อีกทั้งทีมงานที่อยู่กับการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากว่า 24 ปี ทำให้เอ็มเอฟซีมีประสบการด้านการดำเนินการรูปแบบ Employee’s choice จึงได้รับความไว้วางใจให้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจจำนวน 10 แห่ง โดยปัจจุบันเอ็มเอฟซีบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 41 กองทุน มูลค่ากองทุนกว่า 55,000 ล้านบาท จำนวนนายจ้าง 534 ราย และจำนวนสมาชิกกว่า 165,000 ราย มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2551) โดยมีอัตราการเติบโตร้อยละ 7.8 เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2550 ซึ่งมีมูลค่ากว่า 51,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ระบุว่าเดือนสิงหาคม 2551 ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งระบบมีจำนวนเงินทั้งสิ้น 4.67 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,368.25 ล้านบาท หรือ 2.94% จากจำนวนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งระบบในเดือนกรกฎาคม 2551 ที่มีจำนวนเงิน 4.54 แสนล้านบาท และคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 25,865.19 ล้านบาท หรือ 5.86% จากช่วงต้นปีที่ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีจำนวนเงินกองทุนทั้งสิ้น 4.41 แสนล้านบาท
โดย 5 อันดับบริษัทจัดการที่มีจำนวนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสูงที่สุดได้แก่ อันดับ 1 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด ที่มีเงินกองทุนในการบริหารจัดการจำนวน 66,336.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,712.55 ล้านบาท หรือ 2.65% จากเดือนก่อนหน้าที่มีจำนวนเงิน 64,624.35 ล้านบาท , อันดับ 2 บลจ.กรุงไทย มีเงินกองทุนในการบริหารจัดการประจำเดือนสิงหาคม 64,001.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,828.51 ล้านบาท หรือ 2.94% จากเดือนกรกฎาคมที่มีเงินกองทุน 62,172.52 ล้านบาท , อันดับ 3 บลจ. เอ็มเอฟซี มีเงินกองทุน 55,102.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,091.89 ล้านบาท หรือ 2.02% จากเดือนก่อนหน้าที่มีจำนวนเงิน 54,010.32 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 4 คือ บลจ. ไทยพาณิชย์ ซึ่งเดือนสิงหาคมมีจำนวนเงินกองทุน 52,651.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,671.84 ล้านบาท หรือ 14.51% จากเดือนกรกฎาคมที่มีจำนวนเงิน 45,979.89 ล้านบาท , อันดับ 5 บลจ. กสิกรไทย โดยมีเงินกองทุน 52,314.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,239.18 ล้านบาท หรือ 2.43% จากเดือนก่อนหน้าที่มีจำนวนเงิน 51,075.64 ล้านบาท