CENTEL แจ้งตลท.ทุ่ม 800 ล้านซื้อหน่วยลงทุนกอง "เซ็นทารา" คณะกรรมบริษัทระบุเนื่องจากมีการทำธุรกรรมที่เข้าข่ายต้องประกาศให้ผู้ถือหุ้นทราบ จึงดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามกฎ ด้านบลจ.กสิกรไทย ดีเดย์เทรดในตลาดหุ้น 13 ตุลาคมนี้
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทโรงแรมเซ็นทรัล พลาซ่า จำกัด (มหาชน) CENTEL ได้มีมติในการแจ้งต่อตลท. หลังจากได้แจ้งมาแล้วในการขออนุมัติให้มีการดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่กองทุนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ("กองทุนฯ") ซึ่งมีขนาดกองทุนมูลค่า 3,200 ล้านบาทนั้น
ทั้งนี้ บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมดังกล่าว จำนวน80,000,100 หน่วย คิดเป็นเงินจำนวน 800,001,000 บาท หรือเท่ากับร้อยละ 25 ของมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ซึ่งมีขนาดของรายการคิดเป็นร้อยละ 6.3 ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน
สำหรับการชี้แจงในครั้งนี้ เนื่องจากรายการดังกล่าวถือเป็นรายการประเภทได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทฯ แต่จากขนาดของรายการเมื่อนับรวมกับรายการที่เกิดขึ้นในระหว่าง 6 เดือน มีมูลค่าเท่ากับ 2,250,001,000บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.7 ตามเกณฑ์ มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน ตามงบการเงินรวมของบริษัทและบริษัทย่อยงวดล่าสุด (สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2551) ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการประเภทที่ 2ที่จะต้องดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 ซึ่งบริษัทจะต้องดำเนินการเปิดเผยข้อมูลที่ประกาศดังกล่าวกำหนดและทำหนังสือเวียนให้ผู้ถือหุ้นทราบภายใน 21 วัน
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจัดตั้งโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด และจะลงทุนในสิทธิการเช่าระยะเวลา 30 ปี ของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทสมุย ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ตั้งอยู่บนหาดเฉวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ โดยจะมีโครงสร้างการลงทุนจากผู้ลงทุนทั่วไปจำนวน 67-75% และอีก 25-33% เป็นผู้ลงทุนทั่วไปรวมถึงสถาบัน
ส่วนผลตอบแทนที่ได้จะมาจาก ค่าเช่าคงที่ และค่าเช่าแปรผัน ซึ่งจะมีการจ่ายเงินปันผล 4 ครั้งต่อปี และรับประกันรายได้ค่าเช่าสะสมของกองทุนรวมไม่ต่ำกว่า 9% ต่อปี เป็นระยะเวลา 4 ปีเต็ม
โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทสมุย บริหารโดยบมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนโรงแรมภายใต้การบริหาร 12 โรงแรม จำนวนห้องพัก 2,799 ห้อง โดยในปีที่ผ่านมาโรงแรมมียอดผู้เข้าพักที่ประมาณ 67-68% ซึ่งไม่สูงมากเนื่องจากได้มีการปรับปรุงห้องพัก แต่ในครึ่งแรกของปีนี้มียอดผู้เข้าพักแล้ว 79-80% โดยร้อยละ 60 จะเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศในแถบทวีปยุโรป และร้อยละ 30 เป็นนักท่องเที่ยวแถบเอเชีย ส่วนที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวทวีปต่างๆ ทั่วไป ซึ่งมียอดเฉลี่ยในการเข้าพักอยู่ที่ 7.2 วันต่อหัวต่อคน
โดยคาดว่าในอนาคตกองทุนนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจาก กลุ่ม CENTEL จะนำโรงแรมในเครือเซ็นทาราเข้ามารวมในกองทุนนี้ด้วย ทำให้มีสภาพคล่องสูง มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น และมีโอกาสเติบโตสูง นอกจากนี้ กองทุนยังจะเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าสามารถลงทุนเพิ่มในโรงแรมของเครื่อเซ็นทรัล ซึ่งคาดว่าจะนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนเพิ่มเติม และกองทุนจะมีสิทธิใน 7 ปีแรกที่จะพิจารณาลงทุนก่อนบุคคลอื่น
อนึ่ง ดร.อโศก วงค์ชะอุ่ม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด ได้เคยเปิดเผยว่า “กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ที่เปิดรับจองหน่วยลงทุนในที่ผ่านมา มีนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจเต็มมูลค่าของโครงการซึ่งกำหนดไว้ 3,200 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้จัดสรรหน่วยลงทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 13 ตุลาคม นี้
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทโรงแรมเซ็นทรัล พลาซ่า จำกัด (มหาชน) CENTEL ได้มีมติในการแจ้งต่อตลท. หลังจากได้แจ้งมาแล้วในการขออนุมัติให้มีการดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่กองทุนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ("กองทุนฯ") ซึ่งมีขนาดกองทุนมูลค่า 3,200 ล้านบาทนั้น
ทั้งนี้ บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมดังกล่าว จำนวน80,000,100 หน่วย คิดเป็นเงินจำนวน 800,001,000 บาท หรือเท่ากับร้อยละ 25 ของมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ซึ่งมีขนาดของรายการคิดเป็นร้อยละ 6.3 ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน
สำหรับการชี้แจงในครั้งนี้ เนื่องจากรายการดังกล่าวถือเป็นรายการประเภทได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทฯ แต่จากขนาดของรายการเมื่อนับรวมกับรายการที่เกิดขึ้นในระหว่าง 6 เดือน มีมูลค่าเท่ากับ 2,250,001,000บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.7 ตามเกณฑ์ มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน ตามงบการเงินรวมของบริษัทและบริษัทย่อยงวดล่าสุด (สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2551) ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการประเภทที่ 2ที่จะต้องดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 ซึ่งบริษัทจะต้องดำเนินการเปิดเผยข้อมูลที่ประกาศดังกล่าวกำหนดและทำหนังสือเวียนให้ผู้ถือหุ้นทราบภายใน 21 วัน
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจัดตั้งโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด และจะลงทุนในสิทธิการเช่าระยะเวลา 30 ปี ของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทสมุย ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ตั้งอยู่บนหาดเฉวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ โดยจะมีโครงสร้างการลงทุนจากผู้ลงทุนทั่วไปจำนวน 67-75% และอีก 25-33% เป็นผู้ลงทุนทั่วไปรวมถึงสถาบัน
ส่วนผลตอบแทนที่ได้จะมาจาก ค่าเช่าคงที่ และค่าเช่าแปรผัน ซึ่งจะมีการจ่ายเงินปันผล 4 ครั้งต่อปี และรับประกันรายได้ค่าเช่าสะสมของกองทุนรวมไม่ต่ำกว่า 9% ต่อปี เป็นระยะเวลา 4 ปีเต็ม
โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทสมุย บริหารโดยบมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนโรงแรมภายใต้การบริหาร 12 โรงแรม จำนวนห้องพัก 2,799 ห้อง โดยในปีที่ผ่านมาโรงแรมมียอดผู้เข้าพักที่ประมาณ 67-68% ซึ่งไม่สูงมากเนื่องจากได้มีการปรับปรุงห้องพัก แต่ในครึ่งแรกของปีนี้มียอดผู้เข้าพักแล้ว 79-80% โดยร้อยละ 60 จะเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศในแถบทวีปยุโรป และร้อยละ 30 เป็นนักท่องเที่ยวแถบเอเชีย ส่วนที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวทวีปต่างๆ ทั่วไป ซึ่งมียอดเฉลี่ยในการเข้าพักอยู่ที่ 7.2 วันต่อหัวต่อคน
โดยคาดว่าในอนาคตกองทุนนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจาก กลุ่ม CENTEL จะนำโรงแรมในเครือเซ็นทาราเข้ามารวมในกองทุนนี้ด้วย ทำให้มีสภาพคล่องสูง มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น และมีโอกาสเติบโตสูง นอกจากนี้ กองทุนยังจะเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าสามารถลงทุนเพิ่มในโรงแรมของเครื่อเซ็นทรัล ซึ่งคาดว่าจะนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนเพิ่มเติม และกองทุนจะมีสิทธิใน 7 ปีแรกที่จะพิจารณาลงทุนก่อนบุคคลอื่น
อนึ่ง ดร.อโศก วงค์ชะอุ่ม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด ได้เคยเปิดเผยว่า “กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ที่เปิดรับจองหน่วยลงทุนในที่ผ่านมา มีนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจเต็มมูลค่าของโครงการซึ่งกำหนดไว้ 3,200 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้จัดสรรหน่วยลงทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 13 ตุลาคม นี้
