อคานโดฯคุย2กองอสังหาฯหวังดึงเงินช้อปอาคารสร้างอาคารเก่า- อาคารสร้างค้างปรับปรุงใหม่ขายต่อ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าตลาดกลางล่างกำลังซื้อ 1-4ล้านบาท พร้อมเตรียมเปิดตัว2โครงการปรับปรุงใหม่ ซอยอินทรามระ และพระราม3 หลังควักกระเป๋า110ล้านบาทปรับขนาดพื้นที่ ฟังก์ชันการใช้สอย หวังสร้างความต่อเนื่องทางการตลาด
ปัจจุบันแนวโน้มการการลงทุนของกองทุนในกลุ่มประเทศยุโปร อเมริกา และตะวันออกกลาง เริ่มเคลื่อนไหวเข้ามาลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่สหรัฐประสบปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ(ซับไพรม์) ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย ยังมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนจากการลงทุนค่อนข้างสูง ซึ่งวิธีเข้ามาลงทุนของของต่างประเทศในไทย มีทั้งเข้ามาร่วมทุนโดยตรง ซื้อหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ หรือการถือผ่านกองทุนรวมอสังหาฯ รวมถึงมาบุกเบิกซื้อโครงการที่มีศักยภาพแล้วพัฒนาต่อเนื่อง เช่น บริษัท แปซิฟิค สตาร์ อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย จำกัด ที่นำเงินจากกองทุน AREPDFเข้ามาลงทุนร่วมกับ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ (AP) ลงทุนพัฒนาโครงการแล้ว 2 โครงการในย่านรัชดา และสาทร
ล่าสุด นายโจเอล เฟลด์แมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อคานโด จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ แฟมิลี่ปาร์ค คอนโดมิเนียม ลาดพร้าว48 ซึ่งเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ดึงเงินในกองทุน ลิซมันพร็อพเพอร์ตี้ เข้ามาลงทุนในไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้นำเงินจากกองทุนดังกล่าว เข้ามาซื้อห้องชุดคอนโดฯจำนวน 3 โครงการ เพื่อปรับปรุงและเปิดขาย ในช่วง2ปีที่ผ่านมา ล่าสุดบริษัท อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวญี่ปุ่นของกองทุนพร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ 2 กอง เพื่อนำเงินเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯในไทย และปรับปรุงห้องชุดใหม่ทำตลาดตามนโยบายของบริษัท โดยยังเน้นการซื้อโครงการเก่า หรือโครงการสร้างค้างมาพัฒนาต่อเพื่อทำตลาด คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
ทั้งนี้ หลังจากที่เปิดขายโครงการแฟมิลี่ปาร์ค คอนโดฯ ในซอยลาดพร้าว48 ในช่วง2ปีที่ผ่านมา และต้องหยุดการทำตลาดไปในช่วงหลังการเกิดรัฐประหาร ล่าสุดบริษัทกลับมาทำตลาดโครงการดังกล่าวอีกครั้ง โดยปัจจุบันมียอดขายเพิ่มอีก 50 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าขาย 60 ล้านบาท รวมยอดขายสะสม 198 ยูนิต จากจำนวนรวม 225 ยูนิต โดยในส่วนของห้องชุดที่เหลือขายในโครงการบางส่วนจะเก็บไว้เพื่อปล่อยเช่าระยะยาว
สำหรับแผนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทได้เริ่มปรับปรุงโครงการอาคารสูงในซอยอินทรามระ ใช้เงินในการปรับปรุง 110 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงพื้นที่ห้องชุดที่ซื้อเข้ามาจำนวน 185 ยูนิต คิดเป็นพื้นที่ขายรวม 20,000 ตารางเมตร โดยคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในช่วงต้นปี2552 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำตลาด โดยห้องชุดในโครงการดังกล่าว บริษัทจะปรับปรุงขนาดห้องใหม่ให้มีขนาดเริ่มต้น30-110 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 1.2-4 ล้านบาท
“ การซื้อห้องชุดในโครงการสร้างค้างคือนโยบายหลักของบริษัท ซึ่งจะมีผลให้การทำตลาดมีความต่อเนื่อง แต่ยังมีอีก 2 โครงการที่ยังไม่ได้ปรับปรุง คือโครงการคอนโดฯในซอยอินทรามระ เพื่อเปิดขายในปีหน้า และเริ่มเข้าไปปรับปรุงโครงการคอนโดฯในย่านพระราม3 ที่เหลืออีก1โครงการ คาดเปิดขายได้ปลายปี 52หรือต้นปี53 ”
ปัจจุบันแนวโน้มการการลงทุนของกองทุนในกลุ่มประเทศยุโปร อเมริกา และตะวันออกกลาง เริ่มเคลื่อนไหวเข้ามาลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่สหรัฐประสบปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ(ซับไพรม์) ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย ยังมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนจากการลงทุนค่อนข้างสูง ซึ่งวิธีเข้ามาลงทุนของของต่างประเทศในไทย มีทั้งเข้ามาร่วมทุนโดยตรง ซื้อหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ หรือการถือผ่านกองทุนรวมอสังหาฯ รวมถึงมาบุกเบิกซื้อโครงการที่มีศักยภาพแล้วพัฒนาต่อเนื่อง เช่น บริษัท แปซิฟิค สตาร์ อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย จำกัด ที่นำเงินจากกองทุน AREPDFเข้ามาลงทุนร่วมกับ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ (AP) ลงทุนพัฒนาโครงการแล้ว 2 โครงการในย่านรัชดา และสาทร
ล่าสุด นายโจเอล เฟลด์แมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อคานโด จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ แฟมิลี่ปาร์ค คอนโดมิเนียม ลาดพร้าว48 ซึ่งเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ดึงเงินในกองทุน ลิซมันพร็อพเพอร์ตี้ เข้ามาลงทุนในไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้นำเงินจากกองทุนดังกล่าว เข้ามาซื้อห้องชุดคอนโดฯจำนวน 3 โครงการ เพื่อปรับปรุงและเปิดขาย ในช่วง2ปีที่ผ่านมา ล่าสุดบริษัท อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวญี่ปุ่นของกองทุนพร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ 2 กอง เพื่อนำเงินเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯในไทย และปรับปรุงห้องชุดใหม่ทำตลาดตามนโยบายของบริษัท โดยยังเน้นการซื้อโครงการเก่า หรือโครงการสร้างค้างมาพัฒนาต่อเพื่อทำตลาด คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
ทั้งนี้ หลังจากที่เปิดขายโครงการแฟมิลี่ปาร์ค คอนโดฯ ในซอยลาดพร้าว48 ในช่วง2ปีที่ผ่านมา และต้องหยุดการทำตลาดไปในช่วงหลังการเกิดรัฐประหาร ล่าสุดบริษัทกลับมาทำตลาดโครงการดังกล่าวอีกครั้ง โดยปัจจุบันมียอดขายเพิ่มอีก 50 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าขาย 60 ล้านบาท รวมยอดขายสะสม 198 ยูนิต จากจำนวนรวม 225 ยูนิต โดยในส่วนของห้องชุดที่เหลือขายในโครงการบางส่วนจะเก็บไว้เพื่อปล่อยเช่าระยะยาว
สำหรับแผนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทได้เริ่มปรับปรุงโครงการอาคารสูงในซอยอินทรามระ ใช้เงินในการปรับปรุง 110 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงพื้นที่ห้องชุดที่ซื้อเข้ามาจำนวน 185 ยูนิต คิดเป็นพื้นที่ขายรวม 20,000 ตารางเมตร โดยคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในช่วงต้นปี2552 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำตลาด โดยห้องชุดในโครงการดังกล่าว บริษัทจะปรับปรุงขนาดห้องใหม่ให้มีขนาดเริ่มต้น30-110 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 1.2-4 ล้านบาท
“ การซื้อห้องชุดในโครงการสร้างค้างคือนโยบายหลักของบริษัท ซึ่งจะมีผลให้การทำตลาดมีความต่อเนื่อง แต่ยังมีอีก 2 โครงการที่ยังไม่ได้ปรับปรุง คือโครงการคอนโดฯในซอยอินทรามระ เพื่อเปิดขายในปีหน้า และเริ่มเข้าไปปรับปรุงโครงการคอนโดฯในย่านพระราม3 ที่เหลืออีก1โครงการ คาดเปิดขายได้ปลายปี 52หรือต้นปี53 ”