ก่อนหน้านี้ "ทีมงานผู้จัดการกองทุนรวม" เคยนำเสนอ บลจ.ขานรับ แมทชิ่งฟันด์"โอกาสลงทุน...บนความถูกของหุ้นไทย ไปเเล้ว ซึ่ง ณ ตอนนั้นยังไม่มีข้อสรุปเด่นชัดว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) จะนำกองทุนตราสารทุนกองไหนเข้าร่วมโครงการ กองทุนร่วมลงทุน หรือ Matching Fund โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุมัติวงเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อร่วมลงทุนกับบลจ.ในการจัดตั้งกองทุนในลักษณะกองทุนแมทชิ่งฟันด์ ซึ่งเหมือนกับกองทุนไทยสร้างโอกาสที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยจัดตั้งเมื่อปี 2545
โดยวงเงินลงทุนจำนวนดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือกองทุนสถาบัน ที่จะระดมทุนจากนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมลงทุน 1,000 ล้านบาท และบลจ.จะต้องระดมเงินมาลงทุน 4,000 ล้านบาท ทำให้มีมูลค่ากองทุนรวม 5,000 ล้านบาท ซึ่งการนโยบายการลงทุนในหุ้นนั้นให้ทางกองทุนเป็นผู้พิจารณา แต่หากมีผู้สนใจอาจจะเพิ่มเป็น 2 กองทุน
ส่วนวงเงินอีก 1,000 ล้านบาท จะจัดตั้งเป็นกองทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย แบ่งเงินเป็น 10 กองทุน โดย 5 กองทุนแรก ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมลงทุนกองละ 100 ล้าบาท บลจ.ร่วมลงทุนกองละ 300 ล้านบาท รวมมูลค่ากองทุนละ 400 ล้านบาท มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งในส่วนนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์เเละบลจ.ที่เข้าร่วมโครงการได้ลงนามพร้อมกับเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันศุกร์ 26 กันยายนที่ผ่านมา
โดยบลจ.ที่เข้าร่วมโครงการเเมทชิ่งฟันด์คือ บลจ. ธนชาต จำกัด บลจ. กรุงไทยจำกัด บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด บลจ.กสิกรไทย จำกัด และบลจ. อยุธยา จำกัด
โดย สุชาดา ภวนานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ธนชาติ กล่าวว่า เราได้นำกองทุนเปิดธนชาติเพิ่มทวี (N – SET) เข้าร่วมโครงการ โดยกองทุนนี้ให้ผลตอบแทน ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2551 ย้อนหลัง 3 เดือน -14.64% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -17.90% ย้อนหลัง 6 เดือน -12.83% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -19.07% ย้อนหลัง 12 เดือน -12.83% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -19.07% ย้อนหลัง 3 ปี 17.19% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -3.60% และผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุน 70.43% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 23.70% โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในตราสารเเห่งทุนเเละจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีอัตราส่วนการลงทุนสูงสุด 30 อันดับเเรก โดยเฉลี่ยในรอบระยะเวลาบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ทั้งนี้ บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต จำกัด บอกว่า จากการจัดงานครั้งนี้ ภายในวันที่ 16 ตุลาคม 2551 ต้องทำยอดให้ได้ 100 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเยอะมาก แต่เชื่อว่าขณะนี้นักลงทุนกำลังรอดูจังหวะที่เหมาะสมที่จะเข้ามาลงทุน เพราะเชื่อว่าทุกคนนั้นมีเงินสดอยู่ในมืออยู่แล้ว และโครงการครั้งนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีกับการเข้ามาช้อนซื้อหุ้นที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกด้วย
สมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) บอกว่า กองทุนที่ทางบลจ.เรานำเข้าร่วมโครงการเเมทชิ่งฟันด์ คือ กองทุนเปิดกรุงไทย-ทรีนีตี้ปันผล ซึ่งมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี รวมทั้งลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และหรือเงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตลอดจนหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ทั้งนี้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด เเละบริษัทจะลงทุนในตราสารทุน จำนวนไม่เกิน 30 หลักทรัพย์ ซึ่งจะคิดเป็นอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และจะประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่ลงทุนอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
ขณะที่การจัดตั้งกองทุนแมชชิ่งฟันด์ ร่วมกับตลท. ในครั้งนี้ ถือว่า เป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุน หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยมีราคาต่ำ น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี เเละเรายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งความผันผวนที่เกิดขึ้นอยู่ เป็นเพียงความผันผวนระยะสั้น เเต่เมื่อปัจจัยภายใน เเละภายนอกประเทศคลี่คลายลงได้ ตลาดหลักทรัพย์จะกลับเข้สู่ภาวะปกติ ขณะเดียวกันกองทุนที่เรานำเข้าร่วมโครงการนั้น เป็นกองทุนที่มีศักยภาพที่ดี มีผลการดำเนินงานที่ดีอีกด้วย
ส่วน มาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวถึงกองทุนที่บลจ.ไอเอ็นจี ส่งเข้าร่วมโครงการเเมทชิ่งฟันด์ว่า ทางเราได้คัดเลือกกองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยอีควิตี้ฟันด์ ซึ่งมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท โดยกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตราสารทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดีมาโดยตลอดและมีแนวโน้มการเจริญเติบโตในอัตราสูง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ซึ่งกองทุนดับงกล่าวจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ ที่สำคัญกองทุนนี้จะสามารถสร้างผลตอบเเทนในระยะกลางเเละระยะยาวให้กับผู้ที่ร่วมลงทุนกับเราไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสถาบัน หรือนักลงทุนรายย่อย
อโศก วงศ์ชอุ่ม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.กสิกรไทย จำกัด บอกว่า ทางบลจ.เราส่งกองทุนเปิดเค สตาร์หุ้นทุนคืนกำไร เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการประมาณ 1,112ล้านบาท ซึ่งกองทุนมีนโยบายที่จะมุ่งเน้นการลงทุนในระยะสั้นถึงระยะปานกลางในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเป็นหรือเกี่ยวข้องกับตราสารแห่งทุน โดยจะลงทุนในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมาย ก.ล.ต. กำหนด และลงทุนบางส่วนในตราสารทุน เงินฝาก ตราสารทางการเงิน และตราสารแห่งหนี้ รวมทั้งหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ก.ล.ต. ทั้งนี้ กองทุนจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง
" ตอนนี้เป็นช่วงที่ตลาดมีความผันผวน เเต่ราคาของหลักทรัพย์ต่างๆมีราคาถูก ทำให้เราได้สินทรัพย์ที่ดีเเต่มีราคาถูก ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นโอกาสดีในการสร้างผลตอบเเทนในระยะปานกลางเเละระยะยาว " อโศก กล่าว
ด้านนิทิต พุกกะณะสุต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.อยุธยา จำกัด กล่าวว่า ทางบลจ.ส่งกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวี 5 (AYFTW5) โดย กองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนนี้มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ผู้บริหารมองตลาดหุ้นไทยยังให้ผลตอบเเทนที่ดี
นอกจากที่บลจ.นำกองทุนที่ให้ผลตอบเเทนเเละมีผลการดำเนินงานที่ดีมาร่วมกับตลาดหลักทรัพย์เเล้ว บรรดาผู้บริหารบลจ.ยังมองอีกว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่ให้ผลตอบเเทนที่ดีอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ นักลงทุนต่างประเทศพากันมองหาตลาดทุนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตของสหรัฐ นั้นเอง
โดย ตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต มองว่า สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทย พบว่าราคาหุ้นไทยปัจจุบันถูกกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมาก ปัจจุบัน P/E อยู่ที่ระดับเพียงประมาณ 8 เท่า เท่านั้น อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นช่วงค่า P/E ที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เราจะพบหุ้นดี ๆ P/E ไม่เกิน 8 เท่า ที่มีdividend Yield สูงระดับ 7-8%
แต่หากมองภาพรวมทั้งตลาด dividend Yield เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.5-6% สูงกว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งมีผลตอบแทนประมาณ 4.75% ซึ่งแนวโน้มเช่นนี้ จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะแกว่งตัวสูงขึ้นได้ ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดจะกลับมาขยายตัวดีในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 และมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลงได้ในปีหน้านี้ ดังนั้น ในระยะยาวตลาดหุ้นน่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นได้ แต่ในระยะสั้น ถึงปานกลาง ตลาดหุ้นมีโอกาสผันผวนได้ ภาวะเช่นนี้จึงเป็นช่วงที่น่าสะสมหุ้นและหวังผลตอบแทนในระยะยาว
ตระกูลจิตร ยังกล่าวอีกว่า ในภาวะเช่นนี้ หุ้นบริษัทจดทะเบียนที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือกลุ่มบริษัทที่มีส่วนของต้นทุนที่มาจากสินค้าโภคภัณฑ์น้อย และมีอัตราการขยายตัวจากการบริโภคภายในประเทศ พึ่งพาต่างประเทศน้อย และเติบโตมากกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นหุ้นที่ เน้นการอุปโภคบริโภค ภายในประเทศ และพึ่งพิงการนำเข้าน้อย เช่น หุ้นในกลุ่ม สื่อสาร บันเทิง อสังหาริมทรัพย์ และ ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น และอีกกลุ่มที่เขาเห็นว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน คือ กลุ่มธุรกิจที่อยู่ในช่วงต่ำสุดของขาลง (Turnaround business) เป็นหุ้นที่เคยได้รับผลลบจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรและอาหาร เป็นต้น
ขณะที่อีก 5 กองทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมลงทุนกองละ 100 ล้านบาท บลจ.ร่วมลงทุนกองละ 150 ล้านบาท รวมมูลค่ากองทุนละ 250 ล้านบาท จะลงทุนในหุ้นขนาดกลางเล็กที่อยู่ในดัชนีฟุตซี่ สำหรับการร่วมทุนที่เหลือ หาก บลจ.ใดสนใจสามารถยื่นเรื่องได้ที่ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อร่วมโครงการ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 12 พฤศจิกายน 2551