xs
xsm
sm
md
lg

5กลยุทธ์ลงทุนพิชิตเงินเฟ้อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทายของตลาดหุ้นทั่วโลก ที่มีความผันผวนอย่างมากจากปัญหาเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลก แต่นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าความผันผวนนี้จะเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทน หากแต่จะลงทุนอย่างไร หรือกลุ่มใดที่จะชนะเงินเฟ้อที่ปรับตัว คงต้องหาคำตอบกัน

นักวิเคราะห์ของซีตี้แบงก์ บอกว่า ในช่วงแรกที่ราคาอาหาร และราคาน้ำมันมีราคาสูง ภาวะเงินเฟ้อเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ประเทศผู้บริโภค โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาต้องวิตกกับภาวะที่เกิดขึ้นนี้ ในปีที่ผ่านมาราคาอาหารได้มีการปรับขึ้นถึงร้อยละ 40 ในขณะที่ราคาของพลังงานได้มีการปรับขึ้นมากกว่าร้อยละ 60 ซึ่งทำให้ มีการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกในปี 2551 และปี 2552 6.1% และ4.4%

ขณะที่รัฐบาลได้จัดการแก้ปัญหาอุปสรรคทางเศรษฐกิจและอุปสรรคการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งมีสาเหตุมาจากอัตราเงินเฟ้อที่ทำให้นักลงทุนทั้งหลายต่างประสบกับปัญหาอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่หดหายไปจาการลงทุนรวมถึงผลตอบแทนของเงินฝากประจำซึ่งติดลบเมื่อหักลบอัตราเงินเฟ้อแล้ว

อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นนี้ยังมีอแนวโน้มที่แข็งแกร่งว่าจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของประเทศกำลังพัฒนานักวิเคราะห์ของซีตี้แบงก์ เชื่อว่าความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะเศรษบกิจถดถอยในขณะที่เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น (stagflation) นี้ยังไม่สูงมากนักเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปี 2552 ที่จะมาถึงนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลง น่าจะส่งผลไปยังอัตราเงินเฟ้อให้ลดลงไปด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้นนักวิเคราะห์ซีตี้แบงก์ ยังเชื่อว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นมีผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัทค่อนข้างจำกัดเนื่องจากค่าจ้างแรงงานมีสัดส่วนร้อยละ 60 ของต้นทุนรวมของบริษัท ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีค่าแรงที่ถูกควบคุมไว้ ซึ่งน่าจะเป็นสัดส่วนกับประมาณการผลติที่เพิ่มขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้นนักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์ จึงอย่างแนะนำ 5 กลยุทธ์ที่น่าจะสามารถช่วยพอร์ตการลงทุนของเราให้ต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อได้

เลือกลงทุนในส่วนที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
อย่างแรก นักลงทุนอาจจะต้องพิจารณาลงทุนในธุรกิจหรือกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูสงขึ้นนี้หมายรวมถึง สินค้าเกษตร โลหะ และพลังงาน รวมถึงกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาสำหรับสินค้าเกษตรนั้น โดยเฉพาะราคาของเมล็ดธัญพืช ซึ่งมีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ทำให้บรรดานักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองว่า ราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นน่าจะไม่ลดลงในระยะสั้นๆ ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกับองค์กรความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและพัฒนาในส่วนราคาอาหาร (OECD) นั้นน่าจะได้ผ่านเข้าสู่การปรับฐานราคาขึ้นไปแล้วและไม่น่าจะลงมาต่ำอีกครั้งอย่างน้อยก็ 10 ปี

สำหรับโลหะ ทางนักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์ มองว่ากลุ่มโลหะพื้นฐานยังดีอยู่ เช่นอลูมิเนียมกับทองแดง ซึ่งมาจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ค่าแรงที่สูงขึ้น และความต้องการยังคงมากอยู่ ทำให้มีพื้นฐานรองรับให้ราคายังคงสูงต่อไป ในขณะเดียวกันในกลุ่มพลังงาน นักวิเคราะห์ของซิตี้แบงก์ เชื่อว่าราคาน้ำมันน่าจะยังคงอยุ่ในระดับสูงต่อไป โดยราคาเฉลี่ยปี 2551 น่าจะอยู่ที่ 117 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และในปี 2552 น่าจะอยู่ที่ 123 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ส่วน ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์ในกลุ่มพลังงานนั้นได้แก่ บริษัทอุปกรณืเกี่ยวกับน้ำมัน และธุรกิจบริการ ซึ่งน่าจะมาจากกำไรที่เติบโตขึ้นจากรายได้ที่มาจากกิจกรรมการขุดเจาะค้นหาที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์ ยังคงชอบกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งน่าจะมีโอกาสที่จะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้น เนื่องจากแรกงกดดันจากกลุ่มผู้ถือหุ้นจากสถาการณ์ที่น้ำมันราคาแพงนี้ ในขณะที่ทรัพยากรธรรมชาติและเหมืองได้มีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์ ยังเชื่อว่าแนวโน้มราคายังคงจะปรับขึ้นต่อไป และยังเชื่ออีกอย่างว่า กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว ไม่น่าจะไปทางเดียวกับภาวะฟองสบู่ เนื่องจากในงบดุลไม่มีสัญญาณอะไรที่เสี่ยงเกินไป มูลค่าของกลุ่มเมื่อเทียบกับมูลค่ารวมยังคงมีสัดส่วนการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายังคงตระหนักถึงอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะปรับขึ้น เนื่องจากการขาดสภาพคล่อง และน่าจะส่งผลต่อการปรับฐานของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอัตราเงินเฟ้อ

ท้ายที่สุด ความต้องการจำนวนมากจากตลาดเกิดใหมี่ได้ทำให้เกิดการปรับตัวขึ้นของราคาอาหารและพลังงาน เรามีหลักฐานที่แสดงว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาจากการส่งออกสิ้นค้าโภคภัณฑ์ และยังคงมีแนวโน้มที่จะรับประโยชน์จากเรื่องนี้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แนะนำคือให้นักลงทุนระมัดระวังเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ จากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงและการขาดทุนบัญชีเดินสะพัดต่อไปเช่น เวียดนาม จอร์แดน อียิปต์ และตุรกี

ลงทุนในกลุ่มที่มีความต้องการตลอด
กลุ่มที่สอง นักลงทุนคงต้องทำการค้าหากลุ่มที่มีความต้องการที่ยืดหยุ่นหรือความต้องการที่ไม่มีสัดส่วนได้เสียกับราคาที่เพิ่มขึ้น กลุ่มนี้รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับราคาอาหารและพลังงาน เนื่องจากสามารถส่งต่อผลกระทบดังกล่าวไปยังผู้บริโภคได้

กลุ่มที่เกี่ยวโยงกับกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ
นักลงทุนควรจะให้ความสนใจในกลุ่มที่เกี่ยวโยงกับกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ เช่นกลุ่มที่เกี่ยวโยงกับกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ เช่น กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เนื่องจากรายได้ของกลุ่มนี้มาจากการกำหนดโดยรัฐ กฎหมายและดัชนีซึ่งไม่ใช่ดัชนีอุตสาหกรรม ดังนั้นกลุ่มนี้สามารถส่งต่อผลกระทบดังกล่าวได้ง่าย ซึ่งหมายถึงราคาที่สูงขึ้นในขณะเดียวกันนี้ นักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์ได้มีการคาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐานกว่า 2 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ทั่วโลกในระยะเวลา 10 ปี ต่อจากนี้ ซึ่งมีการปรับปรุง บำรุงรักษาของประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของกลุ่มประเทศเกิดใหม่

อย่าละเลยสินค้าดั้งเดิมที่เอาไว้กันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ
นักลงทุนน่าจะมีสัดส่วนในการลงทุนในทองคำ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอนี้ รวมถึงความกังวลต่อเงินเฟ้ออย่างมาก ทองคำยังคงมีความต้องการสูง การที่ประเทศจีนและประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางได้มีรายได้สูงขึ้น ทำให้เกิดความต้องการในทองคำมากขึ้นด้วย เรายังคงมีมุมมองที่ดีต่อทองคำในภาพการลงทุนระยะยาว โดยเราคาดการณ์ราคาน่าจะขึ้นไปยัง 950 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในปี 2552 และ 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐในปี 2553

อสังหาริมทรัพย์
สุดท้ายคือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และหน่วยลงทุนซึ่งลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทางซิตี้แบงก์เชื่อว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์หรือค่าเช่านั้น น่าจะมีการปรับขึ้นในระดับเดียวกับอัตราเงินเฟ้อ แต่อย่างไรก็ตามอสังหาริมทรัพย์ ถึงแม้จะเป็นสินทรัพย์ที่ต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อได้ แต่ต้องพิจารณาถึงผลกระทบด้วยเช่น สภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ทำให้นำไปสู่การลดลงของความต้องการซื้อและเช่า ในขณะเดียวกันการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินและมูลค่าสินทรัพย์ นักวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนำเป็นคัดสรรในการลงทุนในกลุ่มที่เกี่ยวโยงกับอสังหาริมทรัพย์โดยเราสนใจใน ญี่ปุ่น และยุโรป ไม่ร่วมสหราชอาณาจักร เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา และเอเชีย

ที่มา : ซิติ้แบงก์


กำลังโหลดความคิดเห็น