ธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ ผุ้อำนวยการฝ่ายตลาดธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ทิสโก้
การลดลงของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง แต่ราคาอาหารและสินค้าเกษตรซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการประกอบอาหารกลับไม่ลดลง อีกทั้งเร็วๆนี้เรากลับเห็นข่าวที่กระทรวงเกษตรฯ สหรัฐรายงานว่าปีนี้ภาวะราคาอาหารในสหรัฐเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 20 ปีและอาจจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในปีหน้า ที่ผ่านมาราคาอาหารในสหรัฐเพิ่มขึ้นประมาณ 6% หรือคิดเป็น 3 เท่าของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลจากความต้องการธัญพืชที่เพิ่มขึ้น สภาพอากาศที่เลวร้ายทั่วโลกที่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงทั้ง ข้าวโพด ข้าวสาลี และวัตถุดิบสำคัญอื่นๆ เช่น น้ำตาลและแป้ง เป็นต้น
สินค้าเกษตรตัวหลักๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาดัชนีสินค้าเกษตรนั้นคงหนีไม่พ้น ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง และน้ำตาล ซึ่งในระยะยาวก็น่าจะเชื่อได้ว่ายังมีความน่าสนใจในการลงทุนสูง จากปัจจัยพื้นฐานซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้น ทั้งจากจำนวนประชากรโลกที่คาดว่าจะกลายเป็น 2 เท่าของปัจจุบันภายใน 30 ปีข้างหน้า และจากความต้องการพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลผลิตกลับลดลงเพราะพื้นที่เพาะปลูกถูกรุกรานโดยมนุษย์ แถมดินฟ้าอากาศก็ไม่เป็นใจ ส่วนในระยะสั้นถึงระยะกลางนั้นสถานการณ์ของสินค้าเกษตรยอดฮิตทั้ง 4 ประเภทในช่วงที่ผ่านมามีความแปรปรวนพอให้ตื่นเต้นบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งทั้งข้าวโพด ข้าวสาลี และถั่วเหลืองล้วนมีราคาเปลี่ยนแปลงติดลบ แต่ในเดือนนี้ ราคาข้าวโพดก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมกระแสข่าวความเสียหายของพื้นที่เพาะปลูกในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก ถ้ายังจำกันได้เคยนำข้อมูลสถิติมาให้ดูว่าเดือนสิงหาคม – ตุลาคม เป็น 3 เดือนที่สหรัฐอเมริกาเจอพายุเฮอริเคนมากที่สุดในรอบปี (รูปภาพที่ 2) ดังนั้น ถ้าพื้นที่เพาะปลูกเสียหาย คาดการณ์ผลผลิตก็ย่อมลดลง เมื่อผลผลิตลดลง แต่ความต้องการเพิ่มขึ้น ราคาก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา และต้นสัปดาห์นี้ก็เพิ่งมีข่าวว่าราคาถั่วเหลืองได้ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ส่วนน้ำตาลนั้นก็ได้รับผลกระทบด้านราคาจากความต้องการใช้เอธานอลที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำตาลปรับตัวขึ้นมาถึง 17% ในเวลา 3 สัปดาห์ หรือ 35% ตั้งแต่ต้นปี มิน่าเล่าตอนกูรู Jim Roger มาพูดเรื่องการลงทุนที่บ้านเราเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึงได้ bullish น้ำตาลเสียเหลือเกิน
ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพื่อจะให้เห็นภาพคร่าวๆว่าแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ส่งผลกระทบระยะสั้นต่อราคาสินค้าเกษตรในทิศทางใดบ้าง อย่างไรก็ดี ในระยะยาวสินค้าเกษตรก็ยังคงเป็นประเภทตราสาร (Asset Class) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และยังเป็นเครื่องมือกระจายการลงทุน (Diversification) ที่ดีเพราะมิได้มีการเปลี่ยนแปลงของราคาที่อ้างอิงกับตราสารทุน หรือตราสารหนี้
สำหรับท่านผู้ลงทุนที่สนใจการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใหม่นี้ ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนได้โดยผ่านกองทุนรวม บลจ.ทิสโก้ เองก็มีกองทุนเปิด ชื่อ ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์ ที่มีนโยบายการลงทุนในสินค้าเกษตร 7 ชนิด ที่มีปริมาณการบริโภคสูง คือ ข้าวโพด ข้าวสาลี น้ำตาล ถั่วเหลือง โกโก้ กาแฟ และ ฝ้าย โดยเป็นการลงทุนในสินค้าเกษตรในต่างประเทศ เป็นสกุลเงินยูโร ซึ่งถือเป็นสกุลเงินหนึ่งที่ผู้ลงทุนมักใช้เป็นทางเลือกนอกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งท่านสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-633-7777 ทุกวันในเวลาทำการ
การลดลงของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง แต่ราคาอาหารและสินค้าเกษตรซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการประกอบอาหารกลับไม่ลดลง อีกทั้งเร็วๆนี้เรากลับเห็นข่าวที่กระทรวงเกษตรฯ สหรัฐรายงานว่าปีนี้ภาวะราคาอาหารในสหรัฐเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 20 ปีและอาจจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในปีหน้า ที่ผ่านมาราคาอาหารในสหรัฐเพิ่มขึ้นประมาณ 6% หรือคิดเป็น 3 เท่าของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลจากความต้องการธัญพืชที่เพิ่มขึ้น สภาพอากาศที่เลวร้ายทั่วโลกที่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงทั้ง ข้าวโพด ข้าวสาลี และวัตถุดิบสำคัญอื่นๆ เช่น น้ำตาลและแป้ง เป็นต้น
สินค้าเกษตรตัวหลักๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาดัชนีสินค้าเกษตรนั้นคงหนีไม่พ้น ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง และน้ำตาล ซึ่งในระยะยาวก็น่าจะเชื่อได้ว่ายังมีความน่าสนใจในการลงทุนสูง จากปัจจัยพื้นฐานซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้น ทั้งจากจำนวนประชากรโลกที่คาดว่าจะกลายเป็น 2 เท่าของปัจจุบันภายใน 30 ปีข้างหน้า และจากความต้องการพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลผลิตกลับลดลงเพราะพื้นที่เพาะปลูกถูกรุกรานโดยมนุษย์ แถมดินฟ้าอากาศก็ไม่เป็นใจ ส่วนในระยะสั้นถึงระยะกลางนั้นสถานการณ์ของสินค้าเกษตรยอดฮิตทั้ง 4 ประเภทในช่วงที่ผ่านมามีความแปรปรวนพอให้ตื่นเต้นบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งทั้งข้าวโพด ข้าวสาลี และถั่วเหลืองล้วนมีราคาเปลี่ยนแปลงติดลบ แต่ในเดือนนี้ ราคาข้าวโพดก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมกระแสข่าวความเสียหายของพื้นที่เพาะปลูกในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก ถ้ายังจำกันได้เคยนำข้อมูลสถิติมาให้ดูว่าเดือนสิงหาคม – ตุลาคม เป็น 3 เดือนที่สหรัฐอเมริกาเจอพายุเฮอริเคนมากที่สุดในรอบปี (รูปภาพที่ 2) ดังนั้น ถ้าพื้นที่เพาะปลูกเสียหาย คาดการณ์ผลผลิตก็ย่อมลดลง เมื่อผลผลิตลดลง แต่ความต้องการเพิ่มขึ้น ราคาก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา และต้นสัปดาห์นี้ก็เพิ่งมีข่าวว่าราคาถั่วเหลืองได้ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ส่วนน้ำตาลนั้นก็ได้รับผลกระทบด้านราคาจากความต้องการใช้เอธานอลที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำตาลปรับตัวขึ้นมาถึง 17% ในเวลา 3 สัปดาห์ หรือ 35% ตั้งแต่ต้นปี มิน่าเล่าตอนกูรู Jim Roger มาพูดเรื่องการลงทุนที่บ้านเราเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึงได้ bullish น้ำตาลเสียเหลือเกิน
ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพื่อจะให้เห็นภาพคร่าวๆว่าแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ส่งผลกระทบระยะสั้นต่อราคาสินค้าเกษตรในทิศทางใดบ้าง อย่างไรก็ดี ในระยะยาวสินค้าเกษตรก็ยังคงเป็นประเภทตราสาร (Asset Class) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และยังเป็นเครื่องมือกระจายการลงทุน (Diversification) ที่ดีเพราะมิได้มีการเปลี่ยนแปลงของราคาที่อ้างอิงกับตราสารทุน หรือตราสารหนี้
สำหรับท่านผู้ลงทุนที่สนใจการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใหม่นี้ ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนได้โดยผ่านกองทุนรวม บลจ.ทิสโก้ เองก็มีกองทุนเปิด ชื่อ ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์ ที่มีนโยบายการลงทุนในสินค้าเกษตร 7 ชนิด ที่มีปริมาณการบริโภคสูง คือ ข้าวโพด ข้าวสาลี น้ำตาล ถั่วเหลือง โกโก้ กาแฟ และ ฝ้าย โดยเป็นการลงทุนในสินค้าเกษตรในต่างประเทศ เป็นสกุลเงินยูโร ซึ่งถือเป็นสกุลเงินหนึ่งที่ผู้ลงทุนมักใช้เป็นทางเลือกนอกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งท่านสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-633-7777 ทุกวันในเวลาทำการ