บลจ.ทิสโก้ปลื้ม "อีแชนเนล" ยอดซื้อขายเพิ่มกว่า 4 เท่าหลังให้บริการซื้อขาย 24 ชั่วโมงมานานกว่า 2 ปี ระบุนักลงทุนส่วนใหญ่ยังติดทำธุรกรรมผ่านสาขาแบงก์มากกว่าแต่การขยายตัวของช่องทางอินเตอร์เน็ตยังเติบโตต่อเนื่อง พร้อมเล็งออกโปรโมชั่นพิเศษให้นักลงทุน
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ หัวหน้าการตลาด ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนในการซื้อขายหน่วยลงทุนตลอด 24 ชั่วโมงผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งบริษัทเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2549 หรือประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา มีนักลงทุนเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นกว่า 3-4 เท่าเมื่อเปรียบกับตอนเปิดให้บริการช่วงแรก โดยมียอดการซื้อขายผ่านช่องทางนี้ประมาณ 400 รายการต่อเดือน
ทั้งนี้นักลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ตลอดเวลา แต่หากมีการทำธุรกรรมหลังเวลา 15.00 น.จะถือว่าเป็นคำสั่งซื้อหรือขายในวันถัดไป นอกจากนี้ลูกค้าที่มีบัญชีกับธนาคารทิสโก้ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยังสามารถสั่งซื้อหน่วยลงทุนล่วงหน้าได้อีกด้วย
“ลูกค้าที่มีบัญชีกับธนาคารที่ผูกกับเราจะซื้อหน่วยลงทุนได้ล่วงหน้าถึง 7 วัน ยกตัวอย่างเช่นหากคาดว่าเงินจะเข้าบัญชีในอีก 2 วันแต่ต้องไปต่างประเทศ ก็สามารถซื้อได้เลยและเมื่อเงินเข้าก็จะมีการหักผ่านบัญชีในวันนั้น”นางธีรินทร์กล่าว
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า หากเปรียบเทียบการทำธุรกรรมผ่านทางเคาท์เตอร์ตามสาขาของธนาคารกับช่องทางอินเตอร์เนตแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ยังนิยมทำธุรกรรมผ่านทางสาขาธนาคารมากกว่า แต่เมื่อมองด้านการขยายตัวของแต่ละช่องทางการขายแล้ว ระบบอินเตอร์เน็ตนับว่ายังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ในอัตราที่มากกว่า
ทั้งนี้ความนิยมทำธุรกรรมผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตจะขึ้นอยู่กับนักลงทุนและสินค้าเป็นหลัก โดยนักลงทุนที่มีอายุ และมีพอร์ตการลงทุนใหญ่จะนิยมการซื้อขายผ่านสาขาธนาคาร หรือตัวแทนมากกว่า แต่หากเป็นนักลงทุนที่มีอายุไม่มากนักก็จะเริ่มหันมาใช้ช่องทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น
สำหรับสินค้านั้น หากเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง นักลงทุนยังคงต้องการทราบข้อมูลของกองทุนอย่างละเอียด จึงนิยมใช้ช่องทางซื้อผ่านสาขา หรือตัวแทนบริษัทมากกว่าช่องทางอินเตอร์เน็ต แต่หากเป็นกองทุนที่ไม่ซับซ้อนนัก ช่องทางอินเตอร์เน็ตก็เป็นตัวเลือกที่นักลงทุนอายุน้อยเข้ามาใช้บริการมากกว่า
“มันขึ้นอยู่กับนักลงทุนและโปรดักซ์ ที่ผ่านมากองทุนที่ขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตมากที่สุดจะเป็นกอง RMF-LTF ซึ่งคนบางกลุ่มมองการซื้อขายผ่านช่องทางนี้เป็นการลดข้อจำกัดที่ดี อย่างเช่นคนในต่างจังหวัดที่ชอบโปรดักซ์ของเราแต่อยู่ไกลเขาก็สามารถใช้ช่องทางนี้ได้ และที่ผ่านมาเรามีลูกค้าในส่วนนี้เข้ามาซื้อมากขึ้นพอสมควรเหมือนกัน” นางสาวธีรินทร์กล่าว
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า การซื้อขายหน่วยลงทุนทางอินเตอร์เน็ตถือว่าเป็นการลดต้นทุนได้อย่างดี ทั้งในส่วนของบริษัทและนักลงทุน โดยบริษัทเองจะเป็นการลดต้นทุนในการทำเอกสารต่างๆ และการใช้บุคคลากร ขณะที่ลูกค้าจะเป็นลดขั้นต้อนในการซื้อขาย ซึ่งสามารถนำไปยืดเวลาในการตัดสินใจซื้อหน่วยลงทุนได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้คาดกว่าช่องทางนี้คงจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต และทางบริษัทเองมีแผนที่จะทำการตลาดและโปโมทช่องทางนี้เช่นกัน โดยสิ่งที่จะทำในช่วงเริ่มต้นน่าจะเป็นการจัดโปรโมชันให้กับลูกค้าที่ซื้อขายผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต
อนึ่งสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ทิสโก้ในครึ่งปีแรกมีปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% โดยบลจ.มีเอยูเอ็มจำนวน 113,600 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกองทุนรวมจำนวน 18,580 ล้านบาท , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 64,370 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลจำนวนจำนวน 30,650 ล้านบาท จากปลายปี 2550 ที่บลจ.มีเอยูเอ็มรวม 107,700 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกองทุนรวมจำนวน 14,500 ล้านบาท , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 62,700 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลจำนวน 31,300 ล้านบาท
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ หัวหน้าการตลาด ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนในการซื้อขายหน่วยลงทุนตลอด 24 ชั่วโมงผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งบริษัทเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2549 หรือประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา มีนักลงทุนเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นกว่า 3-4 เท่าเมื่อเปรียบกับตอนเปิดให้บริการช่วงแรก โดยมียอดการซื้อขายผ่านช่องทางนี้ประมาณ 400 รายการต่อเดือน
ทั้งนี้นักลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ตลอดเวลา แต่หากมีการทำธุรกรรมหลังเวลา 15.00 น.จะถือว่าเป็นคำสั่งซื้อหรือขายในวันถัดไป นอกจากนี้ลูกค้าที่มีบัญชีกับธนาคารทิสโก้ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยังสามารถสั่งซื้อหน่วยลงทุนล่วงหน้าได้อีกด้วย
“ลูกค้าที่มีบัญชีกับธนาคารที่ผูกกับเราจะซื้อหน่วยลงทุนได้ล่วงหน้าถึง 7 วัน ยกตัวอย่างเช่นหากคาดว่าเงินจะเข้าบัญชีในอีก 2 วันแต่ต้องไปต่างประเทศ ก็สามารถซื้อได้เลยและเมื่อเงินเข้าก็จะมีการหักผ่านบัญชีในวันนั้น”นางธีรินทร์กล่าว
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า หากเปรียบเทียบการทำธุรกรรมผ่านทางเคาท์เตอร์ตามสาขาของธนาคารกับช่องทางอินเตอร์เนตแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ยังนิยมทำธุรกรรมผ่านทางสาขาธนาคารมากกว่า แต่เมื่อมองด้านการขยายตัวของแต่ละช่องทางการขายแล้ว ระบบอินเตอร์เน็ตนับว่ายังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ในอัตราที่มากกว่า
ทั้งนี้ความนิยมทำธุรกรรมผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตจะขึ้นอยู่กับนักลงทุนและสินค้าเป็นหลัก โดยนักลงทุนที่มีอายุ และมีพอร์ตการลงทุนใหญ่จะนิยมการซื้อขายผ่านสาขาธนาคาร หรือตัวแทนมากกว่า แต่หากเป็นนักลงทุนที่มีอายุไม่มากนักก็จะเริ่มหันมาใช้ช่องทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น
สำหรับสินค้านั้น หากเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง นักลงทุนยังคงต้องการทราบข้อมูลของกองทุนอย่างละเอียด จึงนิยมใช้ช่องทางซื้อผ่านสาขา หรือตัวแทนบริษัทมากกว่าช่องทางอินเตอร์เน็ต แต่หากเป็นกองทุนที่ไม่ซับซ้อนนัก ช่องทางอินเตอร์เน็ตก็เป็นตัวเลือกที่นักลงทุนอายุน้อยเข้ามาใช้บริการมากกว่า
“มันขึ้นอยู่กับนักลงทุนและโปรดักซ์ ที่ผ่านมากองทุนที่ขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตมากที่สุดจะเป็นกอง RMF-LTF ซึ่งคนบางกลุ่มมองการซื้อขายผ่านช่องทางนี้เป็นการลดข้อจำกัดที่ดี อย่างเช่นคนในต่างจังหวัดที่ชอบโปรดักซ์ของเราแต่อยู่ไกลเขาก็สามารถใช้ช่องทางนี้ได้ และที่ผ่านมาเรามีลูกค้าในส่วนนี้เข้ามาซื้อมากขึ้นพอสมควรเหมือนกัน” นางสาวธีรินทร์กล่าว
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า การซื้อขายหน่วยลงทุนทางอินเตอร์เน็ตถือว่าเป็นการลดต้นทุนได้อย่างดี ทั้งในส่วนของบริษัทและนักลงทุน โดยบริษัทเองจะเป็นการลดต้นทุนในการทำเอกสารต่างๆ และการใช้บุคคลากร ขณะที่ลูกค้าจะเป็นลดขั้นต้อนในการซื้อขาย ซึ่งสามารถนำไปยืดเวลาในการตัดสินใจซื้อหน่วยลงทุนได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้คาดกว่าช่องทางนี้คงจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต และทางบริษัทเองมีแผนที่จะทำการตลาดและโปโมทช่องทางนี้เช่นกัน โดยสิ่งที่จะทำในช่วงเริ่มต้นน่าจะเป็นการจัดโปรโมชันให้กับลูกค้าที่ซื้อขายผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต
อนึ่งสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ทิสโก้ในครึ่งปีแรกมีปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% โดยบลจ.มีเอยูเอ็มจำนวน 113,600 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกองทุนรวมจำนวน 18,580 ล้านบาท , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 64,370 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลจำนวนจำนวน 30,650 ล้านบาท จากปลายปี 2550 ที่บลจ.มีเอยูเอ็มรวม 107,700 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกองทุนรวมจำนวน 14,500 ล้านบาท , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 62,700 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลจำนวน 31,300 ล้านบาท
