บลจ.ยูโอบี ปรับพอร์ตกองทุน สมาร์ท คอมโมดิตี้ หลังเอ็นเอวีทรุดจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง เตรียมเพิ่มสินทรัพย์อีก 7 ประเภท หวังใช้ความหลากหลาย และการกระจายความเสี่ยงเป็นตัวช่วยด้านการลงทุน ขณะเดียวกันตัดน้ำมันเตาออกจากพอร์ต เหตุ ก.ล.ต.ยุโรปสั่งให้กองทุนหลักลดการลงทุน เพราะใกล้เคียงกับน้ำมันดิบ
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท คอมโมดิตี้ (UOBSC) ซึ่งเป็นกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ที่เน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) ได้ปรับเปลี่ยนน้ำหนักในพอร์ตลงทุนใหม่ เพื่อให้สินทรัพย์ลงทุนมีความหลากหลายมากขึ้น และเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยได้เพิ่มสินทรัพย์ลงทุนอีก 7 ประเภท ได้แก่ เหลือง ทองแดง สังกะสี ทิกเกอร์ (โลหะอุตสาหกรรม) ตะกั่ว เงิน และก๊าซธรรมชาติ
ขณะเดียวกัน กองทุนได้มีการตัดการลงทุนในน้ำมันเตา (ฮีททิ้งออยล์) ออกจากพอร์ตลงทุนทั้งหมด เนื่องจากสำนักงาน ก.ล.ต.ยุโรปสั่งให้กองทุน DB Platinum Commodity Euro ปรับสินทรัพย์ดังกล่าวออกไป เนื่องจากน้ำมันเตามีความใกล้เคียงกับน้ำมันดิบ และยังมีทิศทางในการปรับขึ้นและลดลงไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา กองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 12 ประเภท โดยสินทรัพย์ลงทุนเดิม ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันเตา (ฮีททิ้งออยล์) ทองคำ อะลูมิเนียม ข้าวสาลี ข้าวโพด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลง ได้ส่งผลกระทบต่อกองทุน UOBSC โดยทำให้มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าว สิ้นสุด ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ 9.24 บาทต่อหน่วย และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 275.72 ล้านบาท โดยกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนสู่งที่สุดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2551 อยู่ที่ 11.70 บาทต่อหน่วย และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 406.95 ล้านบาท และมีมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำที่สุดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ 9.13 บาทต่อหน่วย และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 274.09 ล้านบาท
สำหรับกองทุน UOBSC จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนประเภท R1C ของกองทุน DB Platinum Commodity Euro ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (retail fund) ซึ่งจัดตั้งและบริหารจัดการโดย DB Platinum Advisors ประเทศลักเซมเบิร์ก บริษัทจัดการจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน DB Platinum Commodity Euro โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ส่วนการลงทุนในส่วนที่อยู่ในประเทศไทยนั้น บริษัทจัดการจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝากและ/หรือตราสารแห่งหนี้ทั่วไป และ/หรือเงินฝากในสถาบันการเงินตามกฎหมายไทย ที่มีอายุของตราสาร หรือสัญญา หรือระยะเวลาการฝากเงิน แล้วแต่กรณี น้อยกว่า 1 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรองเงินไว้สำหรับการดำเนินงาน รอการลงทุน หรือรักษาสภาพคล่องของกองทุน
ทั้งนี้ บริษัทจัดการอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น (Hedging) เท่านั้น แต่จะไม่ลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes)
ขณะที่ผลตอบแทนของกองทุน DB Platinum Commodity Euro จะอ้างอิงกับดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ Fx Hedged Deutsche Bank Liquid Commodity Index-Mean Reversion Euro (After cost) ประกอบไปด้วยสินค้าโภคภัณฑ์ 4 หมวดได้แก่ หมวดพลังงาน หมวดโลหะมีค่า หมวดอุตสาหกรรม และหมวดสินค้าเกษตร ในสินค้า 6 ชนิด ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันเตา (ฮีททิ้งออยล์) ทองคำ อะลูมิเนียม ข้าวสาลี ข้าวโพด
โดยดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์จะแสดงค่าในสกุลเงินยูโร และมีการคำนวณทุกวันโดยธนาคารดอยช์แบงก์เอจี สาขาลอนดอน โดยใช้ราคาปิดรายวันของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนี ดัชนีจะปรับน้ำหนักการลงทุนโดยใช้วิธี mean reversion ซึ่งน้ำหนักการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละตัวจะเพิ่มหรือลด ขึ้นอยู่กับราคาเฉลี่ยระยะสั้นเทียบกับราคาเฉลี่ยระยะยาวของสินค้านั้นๆ ถ้าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 1 ปี ของราคาตลาดของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนี มากกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 5 ปี ถือว่าสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีชนิดนั้นมีราคาแพง และน้ำหนักการลงทุนของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีชนิดนั้นจะถูกปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม ถ้าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 1 ปี ของราคาตลาดของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนี น้อยกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 5 ปี ถือว่าสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีชนิดนั้นมีราคาถูก และน้ำหนักการลงทุนของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีชนิดนั้นจะถูกปรับเพิ่มขึ้น น้ำหนักการลงทุนในแต่ละองค์ประกอบของดัชนีจะต้องมีค่ามากกว่าศูนย์เสมอ องค์ประกอบของดัชนีอาจถูกปรับเปลี่ยน ในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีหรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กำหนดไว้
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท คอมโมดิตี้ (UOBSC) ซึ่งเป็นกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ที่เน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) ได้ปรับเปลี่ยนน้ำหนักในพอร์ตลงทุนใหม่ เพื่อให้สินทรัพย์ลงทุนมีความหลากหลายมากขึ้น และเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยได้เพิ่มสินทรัพย์ลงทุนอีก 7 ประเภท ได้แก่ เหลือง ทองแดง สังกะสี ทิกเกอร์ (โลหะอุตสาหกรรม) ตะกั่ว เงิน และก๊าซธรรมชาติ
ขณะเดียวกัน กองทุนได้มีการตัดการลงทุนในน้ำมันเตา (ฮีททิ้งออยล์) ออกจากพอร์ตลงทุนทั้งหมด เนื่องจากสำนักงาน ก.ล.ต.ยุโรปสั่งให้กองทุน DB Platinum Commodity Euro ปรับสินทรัพย์ดังกล่าวออกไป เนื่องจากน้ำมันเตามีความใกล้เคียงกับน้ำมันดิบ และยังมีทิศทางในการปรับขึ้นและลดลงไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา กองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 12 ประเภท โดยสินทรัพย์ลงทุนเดิม ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันเตา (ฮีททิ้งออยล์) ทองคำ อะลูมิเนียม ข้าวสาลี ข้าวโพด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลง ได้ส่งผลกระทบต่อกองทุน UOBSC โดยทำให้มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าว สิ้นสุด ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ 9.24 บาทต่อหน่วย และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 275.72 ล้านบาท โดยกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนสู่งที่สุดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2551 อยู่ที่ 11.70 บาทต่อหน่วย และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 406.95 ล้านบาท และมีมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำที่สุดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ 9.13 บาทต่อหน่วย และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 274.09 ล้านบาท
สำหรับกองทุน UOBSC จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนประเภท R1C ของกองทุน DB Platinum Commodity Euro ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (retail fund) ซึ่งจัดตั้งและบริหารจัดการโดย DB Platinum Advisors ประเทศลักเซมเบิร์ก บริษัทจัดการจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน DB Platinum Commodity Euro โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ส่วนการลงทุนในส่วนที่อยู่ในประเทศไทยนั้น บริษัทจัดการจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝากและ/หรือตราสารแห่งหนี้ทั่วไป และ/หรือเงินฝากในสถาบันการเงินตามกฎหมายไทย ที่มีอายุของตราสาร หรือสัญญา หรือระยะเวลาการฝากเงิน แล้วแต่กรณี น้อยกว่า 1 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรองเงินไว้สำหรับการดำเนินงาน รอการลงทุน หรือรักษาสภาพคล่องของกองทุน
ทั้งนี้ บริษัทจัดการอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น (Hedging) เท่านั้น แต่จะไม่ลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes)
ขณะที่ผลตอบแทนของกองทุน DB Platinum Commodity Euro จะอ้างอิงกับดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ Fx Hedged Deutsche Bank Liquid Commodity Index-Mean Reversion Euro (After cost) ประกอบไปด้วยสินค้าโภคภัณฑ์ 4 หมวดได้แก่ หมวดพลังงาน หมวดโลหะมีค่า หมวดอุตสาหกรรม และหมวดสินค้าเกษตร ในสินค้า 6 ชนิด ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันเตา (ฮีททิ้งออยล์) ทองคำ อะลูมิเนียม ข้าวสาลี ข้าวโพด
โดยดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์จะแสดงค่าในสกุลเงินยูโร และมีการคำนวณทุกวันโดยธนาคารดอยช์แบงก์เอจี สาขาลอนดอน โดยใช้ราคาปิดรายวันของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนี ดัชนีจะปรับน้ำหนักการลงทุนโดยใช้วิธี mean reversion ซึ่งน้ำหนักการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละตัวจะเพิ่มหรือลด ขึ้นอยู่กับราคาเฉลี่ยระยะสั้นเทียบกับราคาเฉลี่ยระยะยาวของสินค้านั้นๆ ถ้าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 1 ปี ของราคาตลาดของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนี มากกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 5 ปี ถือว่าสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีชนิดนั้นมีราคาแพง และน้ำหนักการลงทุนของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีชนิดนั้นจะถูกปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม ถ้าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 1 ปี ของราคาตลาดของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนี น้อยกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 5 ปี ถือว่าสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีชนิดนั้นมีราคาถูก และน้ำหนักการลงทุนของสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีชนิดนั้นจะถูกปรับเพิ่มขึ้น น้ำหนักการลงทุนในแต่ละองค์ประกอบของดัชนีจะต้องมีค่ามากกว่าศูนย์เสมอ องค์ประกอบของดัชนีอาจถูกปรับเปลี่ยน ในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ของดัชนีหรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กำหนดไว้