xs
xsm
sm
md
lg

"เอ็มเอฟซี I-ENHANCED" จับจังหวะลงทุนคอมมอดิตีสร้างผลตอบแทน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หากจะพูดถึง "คอมมอดิตี" เชื่อว่านักลงทุนไทยอีกหลายต่อหลายคน ยังไม่รู้จัก แต่หากขยายความให้กระจ่างขึ้นว่า คอมมอดิตี ก็คือสินค้าเกษตร พลังงาน โลหะมีค่า คงจะร้องอ๋อกันขึ้นมาทันที...

การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ ได้รับการพูดถึงค่อนข้างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์กันทั้งนั้น ในขณะที่ตราสารหนี้เอง ก็ผันผวนต่อเนื่องหลังจากเงินเฟ้อปรับเพิ่มสูงขึ้นจากปัญหาราคาน้ำมันแพง จึงทำให้นักลงทุนต้องมองหาแอสเซทคลาสใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนชดเชยการขาดทุนจากการลงทุนในหุ้น
ในบ้านเราเองก็ตอบรับกระแสดังกล่าวเช่นกัน เพราะในช่วงที่ผ่านมามีกองทุนที่ลงทุนในสินค้าคอมมอดิตีออกมาเป็นทางเลือกเยอะพอสมควร ส่วนหนึ่งการที่หุ้นไทยค่อนข้างผันผวนจากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนไทยเป็นอย่างดี

ล่าสุด หลังจากราคาสินค้าคอมมอดิตีในตลาดโลกปรับลดลงมา ก็ถือเป็นจังหวะในการเข้าไปลงทุนอีกครั้ง โดยบลจ.เอ็มเอฟซี ส่งกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นฮานซ์ ฟันด์ หรือ I-ENHANCED เป็นทางเลือกหาผลตอบแทนกับสินค้าคอมมอดิตีอีกครั้ง

สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นฮานซ์ ฟันด์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท อายุโครงการ 1 ปี 6 เดือนไม่จ่ายเงินปันผล และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อครบกำหนดอายุกองทุน โดยลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ที่คู่สัญญามีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนใน Derivatives

I-Enhance มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) โดยกองทุนจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ในรูปแบบของ Option โดยมีสินค้าหรือตัวแปรอ้างอิงเป็นดัชนีของราคาซื้อขายล่วงหน้าของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น โดยดัชนีของราคาซื้อขายล่วงหน้าของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว คือ RICI Enhanced Excess Return Index ทั้งนี้ บริษัทจัดการอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน (Hedging)

โดยดัชนี RICI Enhanced Excess Return Index เป็นดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ที่ Jim Rogers ผู้เชี่ยวชาญจากวงการตลาดโภคภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก และ ABN AMRO ได้ร่วมกันคิดค้นขึ้นซึ่งเป็นดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ที่สนองความต้องการให้ตรงกับนวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้น ประกอบด้วยดัชนีอ้างอิง 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มพลังงาน เช่น น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ กลุ่มสินค้าเกษตรกรรม เช่น ข้าวโพดและข้าวสาลี และกลุ่มโลหะมีค่าเช่น ทองคำขาว เงินและทอง รวมเป็นสินค้า 37 ชนิด ซึ่งสินค้าต่างๆ ในดัชนีจะมีการถ่วงน้ำหนักที่ขึ้นอยู่กับการบริโภคทั่วโลก คำนึงถึงวัฏจักรของสินค้าโภคภัณฑ์ และสภาพคล่องของสินค้านั้นโดยมีการทบทวนการถ่วงน้ำหนักของสินค้าทุกปี

ศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สายบริหารกองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวจะลงทุนในตราสารทางการเงินในสกุลออสเตรเลียดอลลาร์ ซึ่งในส่วนนี้กองทุนจะลงทุนประเทศ 94% ของพอร์ตการลงทุน โดยจะคุ้มครองเงินต้นในสกุลออสเตรเลีย 100% ส่วนที่เหลืออีก 6% จะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่างหน้าโดยมีตัวแปรอ้างอิงเป็นดัชนี RICI Enhanced Excess Return Index ซึ่งผลตอบแทนของกองทุนจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีดังกล่าว

“เรามองว่าในช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี เนื่องจากราคาได้ปรับลดลงมาจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้นไปเกินจริงในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งหากจะดูราคาของน้ำมันที่ปรับลดลงมาจากราคาสูงสุดที่ 147 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นการปรับลดลงถึง 30% ดังนั้น หากราคาน้ำมันปรับขึ้นไประดับเดิมก็มีโอกาสที่กองทุนจะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น ซึ่งในช่วงนี้ แนวโน้มการปรับลดลงมีค่อนข้างน้อย และจะเริ่มเห็นการปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ที่ปกติแล้วจะมีการใช้พลังงานสูงทั่วโลก”

นักลงทุนที่ลงทุนในกองทถุน I-Enhance มีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนมีตั้งแต่ 0% ไปจนถึง 28% ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนี RICI Enhanced Excess Return Index ให้ผลตอบแทนประมาณ 14.3% ในขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 41%

จิม โรเจอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) กล่าวว่า การลงทุนในสินค้าคอมมอดิตีในขณะนี้ เปรียบเสมือนกับการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้เมื่อช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงนั้น นักลงทุนหลายคนเองยังไม่รู้จักการลงทุนในตราสารเหล่านี้ เช่นเดียวกับคอมมอดิตีในปัจจุบัน ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นแอสเซทคลาสที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น และคาดว่าในช่วง 30 ปีข้างหน้า จะให้ผลตอบแทน

โดยสาเหตุสำคัญ เนื่องจากซัพพลายที่มีอยู่ในปัจจุบันมีจำนวนจำกัด โดยเฉพาะพลังงาน ในขณะเดียวกันหากดูความต้องการแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด ทำให้เชื่อว่าการลงทุนประเภทนี้น่าสนใจในระยะยาว ซึ่งในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในสินค้าคอมมอดิตีเองก็ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง

ส่วนแนวโน้มราคาสินค้าคอมมอดิตีหลังจากนี้ นายจิมกล่าวว่า ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่เชื่อว่าในระยะยาวน่าจะขยับขึ้นไปได้อีก ทั้งนี้ หากจะลงทุนแนะนำให้ลงทุนในสินค้าคอมมอดิตีโดยตรงมากกว่าการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินค้าคอมมอดิตี เนื่องจากการลงทุนโดยตรงจะไม่มีปัจจัยอื่นมากระทบต่อราคา ในขณะที่การลงทุนในหุ้น หากบริษัทนั้นไม่ดี หรือมีปัจจัยอื่นๆ มากระทบตลาด ก็จะส่งผลต่อราคาด้วย

นักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน I-Enhance จะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม - 8 กันยายนนี้ โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำตั้งแต่ 10,000 บาท โดยสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ ติดต่อ Contact Center กด 0 หรือที่ www.mfcfund.com

ทั้งนี้ เมื่อ I-Enhance ครบอายุกองทุน บริษัทจะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนกองทุนเปิด I-Enhance โดยอัตโนมัติ และสับเปลี่ยนไปยังกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี มันนี่ แมเนจเม้นท์ (MMM) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องของผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น