บลจ.แอสเซทพลัส มองตราสารหนี้ระยะสั้นความต้องการสูง ส่งกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 2 เปิดขายหน่วยลงทุนรอบใหม่ เน้นลงทุน 6 เดือนในตราสารหนี้ต่างประเทศ-ต่างประเทศ ชูผลตอบแทน 3.95% ต่อปี
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางถึงยาวปรับตัวลดลง โดยพันธบัตรอายุคงเหลือ 1 ถึง 6 เดือน ปรับตัวเพิ่มประมาณ 1 bp.พันธบัตรระยะสั้นอายุ 1 ถึง 3 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง อยู่ระหว่าง -2 ถึง -8 bp. สำหรับพันธบัตรระยะกลาง 5 ถึง 10 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงอยู่ระหว่าง -14 ถึง -18 bp. และระยะยาวมากกว่า 10 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงอยู่ระหว่าง -11 ถึง -13 bp. จากราคาน้ำมันที่มีการปรับลดลงและมีแนวโน้มจะปรับลดลง
สำหรับแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในเดือนนี้ นักลงทุนจะยังคงเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของปัจจัยทางเศรษฐกิจหลาย ๆ ปัจจัยในช่วงนี้ และนักลงทุนหลักอย่างในกลุ่มกองทุนส่วนใหญ่ จะเป็นกองทุนระยะสั้น เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ระยะไม่ยาวมากนัก ทําให้ความต้องการในตราสารหนี้อายุสั้นๆ ยังคงได้รับความนิยมสูง
ในส่วนแผนการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ในเดือนสิงหาคม นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงนำเสนอกองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในตราสารความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกับระยะเวลาลงทุน โดยในวันที่ 25 สิงหาคม นี้ บริษัทฯ จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 2 (ASP-MMF2) ที่มีรอบระยะเวลาการลงทุนทุก 6 เดือน โดยในรอบการลงทุนนี้กองทุนจะเน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพทั้งในและต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนไทยที่มี Credit rating ตั้งแต่ระดับ Investment Grade ขึ้นไป และตราสารหนี้ของสถาบันการเงินต่างประเทศ หรือ ECP เช่น ABN AMRO Bank, Korean Development Bank และ Emirates Bank เป็นต้น เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้นและลดความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว
นางสาวจารุลักษณ์กล่าวว่า สำหรับกองทุน ASP-MMF2 นี้เป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ที่สามารถลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ไม่เกิน 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยรอบการลงทุนที่ผ่านมา กองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในประเทศ แต่สำหรับในรอบการลงทุนนี้ กองทุนจะปรับสัดส่วนการลงทุนของตราสารหนี้ โดยผสมผสานระหว่างตราสารหนี้ไทยประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น ในระดับความเสี่ยงที่ต่ำ จากการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินต่างประเทศ ที่ได้รับการจัดอันดับ Credit Rating โดยสถาบัน S&P ในระดับ A- ขึ้นไป โดยผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนในตราสารดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 3.95% ต่อปี โดยหลังจากหักค่าใช้จ่ายการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน หรือ Fully Hedge ประมาณ 0.25% แล้ว สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.70% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเสนอขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัสซีเล็คทีฟสต็อกส์ 18/18 (ASP-SSF18/18) ในระหว่างวันที่ 15-21 สิงหาคมนี้ โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนประเภททาร์เกตฟันด์ ที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 18% จากการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโต และมีราคาปรับตัวลงจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือหุ้นที่มีฐานะการเงินดี และมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารเงินลงทุนและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน (Downside Protection) จากการใช้ประโยชน์ของตราสารอนุพันธ์ด้วย
ทั้งนี้ กองทุนจะทำการจ่ายผลตอบแทนอัตโนมัติให้กับลูกค้าเมื่อมูลค่า NAV ของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% ของมูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วยที่ 10 บาท เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน หรือ 18 เดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่จดทะเบียนเป็นกองทุนรวม แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดก่อน
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางถึงยาวปรับตัวลดลง โดยพันธบัตรอายุคงเหลือ 1 ถึง 6 เดือน ปรับตัวเพิ่มประมาณ 1 bp.พันธบัตรระยะสั้นอายุ 1 ถึง 3 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง อยู่ระหว่าง -2 ถึง -8 bp. สำหรับพันธบัตรระยะกลาง 5 ถึง 10 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงอยู่ระหว่าง -14 ถึง -18 bp. และระยะยาวมากกว่า 10 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงอยู่ระหว่าง -11 ถึง -13 bp. จากราคาน้ำมันที่มีการปรับลดลงและมีแนวโน้มจะปรับลดลง
สำหรับแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในเดือนนี้ นักลงทุนจะยังคงเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของปัจจัยทางเศรษฐกิจหลาย ๆ ปัจจัยในช่วงนี้ และนักลงทุนหลักอย่างในกลุ่มกองทุนส่วนใหญ่ จะเป็นกองทุนระยะสั้น เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ระยะไม่ยาวมากนัก ทําให้ความต้องการในตราสารหนี้อายุสั้นๆ ยังคงได้รับความนิยมสูง
ในส่วนแผนการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ในเดือนสิงหาคม นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงนำเสนอกองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในตราสารความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกับระยะเวลาลงทุน โดยในวันที่ 25 สิงหาคม นี้ บริษัทฯ จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 2 (ASP-MMF2) ที่มีรอบระยะเวลาการลงทุนทุก 6 เดือน โดยในรอบการลงทุนนี้กองทุนจะเน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพทั้งในและต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนไทยที่มี Credit rating ตั้งแต่ระดับ Investment Grade ขึ้นไป และตราสารหนี้ของสถาบันการเงินต่างประเทศ หรือ ECP เช่น ABN AMRO Bank, Korean Development Bank และ Emirates Bank เป็นต้น เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้นและลดความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว
นางสาวจารุลักษณ์กล่าวว่า สำหรับกองทุน ASP-MMF2 นี้เป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ที่สามารถลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ไม่เกิน 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยรอบการลงทุนที่ผ่านมา กองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในประเทศ แต่สำหรับในรอบการลงทุนนี้ กองทุนจะปรับสัดส่วนการลงทุนของตราสารหนี้ โดยผสมผสานระหว่างตราสารหนี้ไทยประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น ในระดับความเสี่ยงที่ต่ำ จากการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินต่างประเทศ ที่ได้รับการจัดอันดับ Credit Rating โดยสถาบัน S&P ในระดับ A- ขึ้นไป โดยผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนในตราสารดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 3.95% ต่อปี โดยหลังจากหักค่าใช้จ่ายการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน หรือ Fully Hedge ประมาณ 0.25% แล้ว สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.70% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเสนอขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัสซีเล็คทีฟสต็อกส์ 18/18 (ASP-SSF18/18) ในระหว่างวันที่ 15-21 สิงหาคมนี้ โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนประเภททาร์เกตฟันด์ ที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 18% จากการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโต และมีราคาปรับตัวลงจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือหุ้นที่มีฐานะการเงินดี และมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารเงินลงทุนและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน (Downside Protection) จากการใช้ประโยชน์ของตราสารอนุพันธ์ด้วย
ทั้งนี้ กองทุนจะทำการจ่ายผลตอบแทนอัตโนมัติให้กับลูกค้าเมื่อมูลค่า NAV ของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% ของมูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วยที่ 10 บาท เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน หรือ 18 เดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่จดทะเบียนเป็นกองทุนรวม แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดก่อน