xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐกิจยุโรปขาลง! ผลกระทบต่อไทยที่ไม่ควรมองข้าม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สถานการณ์ในเรื่องของเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น แม้ว่าการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 จะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า แต่การประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ล่าสุดในไตรมาส 2 ของญี่ปุ่น ตลอดจนหลายๆ ประเทศในแถบยุโรป ที่หดตัวลงอย่างพร้อมเพรียงกันนั้น อาจเป็นสัญญาณเริ่มแรกที่สะท้อนให้เห็นถึงโจทย์ที่ท้าทายมากขึ้นสำหรับภาคส่งออกของไทย และเมื่อประกอบเข้ากับความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับฐานของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ก็อาจทำให้แนวโน้มของภาคส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 อาจไม่สดใสมากนัก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมข้อมูลล่าสุดของเศรษฐกิจหลักของโลกและประเมินแนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ดังนี้

เศรษฐกิจหลักของโลก...เริ่มหดตัว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ที่ผ่านมา การส่งออกของประเทศไทยที่ขยายตัวได้สูงถึง 24.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า (YoY) นั้น เป็นตัวเลขที่ดีกว่าความคาดหมาย และสูงกว่าอัตราการขยายตัว 16.7% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 โดยการขยายตัวดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของไทย ตลอดจนการทะยานขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม ข้อมูล GDP ล่าสุดในไตรมาส 2 ในปีนี้ ของหลายๆ ประเทศที่ทยอยประกาศออกมาในช่วงนี้ สะท้อนให้เห็นถึงภาพของการชะลอตัวลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศที่เป็นแกนหลักของโลก และเป็นประเด็นที่จุดชนวนความกังวลว่า ภาคส่งออกของไทยอาจมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2551

ทั้งนี้ สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศแกนหลักของโลก ยกเว้นสหรัฐฯ เริ่มชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดย ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ ในโลกพร้อมใจกันหดตัวลงในช่วงไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ซึ่งสวนทางกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวได้ 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ในไตรมาส 2 ต่อเนื่องจากที่ขยายตัว 0.2 ในไตรมาส 1 โดยได้รับแรงหนุนหลักมาจากการบริโภคที่ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งเนื่องจากมาตรการคืนภาษีของรัฐบาล รวมทั้งการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

ขณะที่ GDP ของญี่ปุ่น หดตัวลง 0.6% ในไตรมาส 2/2551 หลังจากที่ขยายตัว 0.8% ในไตรมาส 1/2551 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า (YoY) GDP ของญี่ปุ่นขยายตัวเพียง 1.0% ในไตรมาส 2/2551 ชะลอลงจากที่ขยายตัว 1.2% ในไตรมาส 1/2551

ส่วน GDP ของยูโรโซน หดตัวลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ในไตรมาส 2/2551 หลังจากที่ขยายตัว 0.7% ในไตรมาส 1/2551 ซึ่งการหดตัวในไตรมาส 2/2551 นี้ ถือเป็นการหดตัวรายไตรมาสของเศรษฐกิจยูโรโซนเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า (YoY) GDP ของยูโรโซนขยายตัวเพียง 1.5% ในไตรมาสที่ 2 ชะลอลงจากที่ขยายตัว 2.1% ในไตรมาสที่ 1 รวมถึง GDP ของประเทศเยอรมนี มีการหดตัวลง 0.5% ในไตรมาส 2 ซึ่งนับเป็นอัตราการหดตัวที่มากที่สุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 1 เป็นต้นมา เทียบกับที่ขยายตัว 1.3% ในไตรมาส 1 (ปรับทบทวนลงจาก 1.5%) และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า GDP ของเยอรมนีขยายตัวเพียง 1.7% ในไตรมาส 2 ชะลอลงจากที่ขยายตัว 2.6% ในไตรมาส 1

ด้าน GDP ของประเทศฝรั่งเศส ก็ได้หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ประมาณ 0.3% ในไตรมาส 2 เทียบกับที่ขยายตัว 0.4% ในไตรมาส 1 (ปรับทบทวนลงจาก 0.5%) และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า GDP ของฝรั่งเศสขยายตัวเพียง 1.1% ในไตรมาส 2 ชะลอลงจากที่ขยายตัว 2.0% ในไตรมาส 1 เช่นเดียวกับ GDP ของประเทศอิตาลี ที่มีการหดตัวลง 0.3% ในไตรมาส 2 ของปีนี้ เทียบกับที่ขยายตัว 0.5% ในไตรมาส 1 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า GDP ของอิตาลีขยายตัว 0.0% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2546 และชะลอลงจากที่ขยายตัว 0.3% ในไตรมาส 1 ของปี 2551

ศก.โลกเปราะบาง...กระทบส่งออกไทย
หลังจากที่เศรษฐกิจของประเทศหลักของโลกเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัวไปแล้วในไตรมาส 2 แนวโน้มของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้น ยังคงดูไม่สดใสนักตลอดในช่วงที่เหลือของปี 2551 โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถูกคาดหมายว่าจะมีอัตราการขยายตัวที่ลดลงเข้าหา 0% ในช่วงครึ่งหลังของปีจากปัญหาในภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่ ยูโรโซน นั้น ประธานธนาคารกลางยุโรปได้กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจภายหลังการประชุมนโยบายการเงินช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2551 ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดในขณะนี้สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะอ่อนแอลงอย่างมากตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้ นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนี กล่าวว่า ไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาส 3 ของปีนี้ อาจจะหดตัวลงต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ส่วนในฝรั่งเศสนั้น ความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากแนวโน้มการบริโภคที่ขยายตัวได้อย่างอ่อนแออาจไม่สามารถช่วยบรรเทาการชะลอตัวอย่างรุนแรงของการลงทุนและการส่งออกได้

สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่น การใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งด้านการบริโภค (55% ของ GDP) และการลงทุน ที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจน พร้อมๆ กับการร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคญี่ปุ่น และสวนทางกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นนั้น เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น

นอกจากนี้แนวโน้มที่อ่อนแอของเศรษฐกิจแกนหลักของโลกนั้น อาจส่งผลต่อเนื่องให้ภาคส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มที่ไม่สดใสตามไปด้วย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างตลาดส่งออกของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 จะพบว่า ตลาดอาเซียนเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับแรกของไทย โดยครองสัดส่วนต่อการส่งออกรวมถึง 23.27% ขณะที่ ตลาดสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ครองสัดส่วนในลำดับรองลงมา 12.15% และ 11.33% ตามลำดับ ในขณะที่ ตลาดสหรัฐฯ มีความสำคัญลดลงสู่ลำดับที่ 4 โดยครองสัดส่วน 11.32%

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ภาคส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 อาจเผชิญโจทย์ที่ท้าทายมากกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักหลายประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะชะลอตัว (Slowdown) ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากว่า ซึ่งเศรษฐกิจของคู่ค้าหลักบางประเทศอาจต้องเผชิญกับภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นยังคงหดตัวลงต่อเนื่องในไตรมาส 3

ในขณะที่ แนวโน้มการปรับฐานของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันในตลาดโลกก็อาจทำให้แรงหนุนที่มีต่อภาคส่งออกของไทย โดยเฉพาะในหมวดสินค้าเกษตรเบาบางลงไป ดังนั้น เมื่อประกอบภาพการชะลอตัวของคู่ค้าหลัก เข้ากับแนวโน้มการส่งออกหมวดสินค้าเกษตรที่อาจไม่สดใสเท่าในช่วงครึ่งแรกของปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การส่งออกของไทยอาจมีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงเหลือ 10-15% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 หลังจากที่ขยายตัวสูงถึง 24.7% ในช่วงครึ่งแรกของปี ในขณะที่ ตัวเลขประมาณสำหรับการส่งออกไทยปี 2551 นั้น อาจมีอัตราการขยายตัวประมาณ 17-19% เทียบกับที่ขยายตัว 17.3% ในปี 2550

กระทบตลาดหุ้นแต่ผันผวนน้อย
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี กล่าวถึงเศรษฐกิจของประเทศในยุโรปที่มีการชะลอตัวลงว่า เศรษฐกิจในยุโรปที่ชะลอตัวลงย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างแน่นอน แต่ตลาดหุ้นในประเทศยุโรปนั้นเป็นตลาดหุ้นของประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นของประเทศเกิดใหม่ในหลายๆประเทศ

ทั้งนี้ เศรษฐกิจในยุโรปที่ลดลงนั้น ได้รับผลกระทบมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยที่ขณะนี้ได้ตกลงมาพอสมควรแล้ว ดังนั้นในระยะยาวแล้วตลาดหุ้นในประเทศยุโรปจึงน่ากลับไปลงทุน โดยที่นักลงทุนควรมองดูสถานการณ์อีกสักระยะ โดยจากสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของประเทศยุโรปชะลอตัวลงมานั้น ในส่วนของ บลจ. ไอเอ็นจี เองซึ่งมีกองทุนที่ไปลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นของประเทศต่างๆในยุโรป ได้มีการปรับลดการถือครองหุ้นบางตัวลงมาบ้าง

อย่างไรก็ตาม ราคานํ้ามันที่ปรับตัวลดลงมานั้น หากราคานํ้ามันยังคงอยู่ในระดับนี้ต่อไป เชื่อว่าในอีก 2 ไตรมาสเหลือของปีนี้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆในยุโรปน่าจะกลับมาดีขึ้นรวมทั้งตลาดหุ้นด้วย

สำหรับ กองทุนที่ลงทุนที่ลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นของประเทศต่างๆในยุโรปนั้น ได้แก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ยูโร ไฮดิวิเดนด์ของทาง บลจ. ไอเอ็นจี, กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิเมอร์จิ้ง อีสเทอร์น ยุโรป เอฟไอเอฟ ของ บลจ. แมนูไลฟ์ และกองทุนเปิด ไทยพาณิชย์ แพลทตินัม ยูโร ฟันด์ ของทาง บลจ. ไทยพาณิชย์

นายจุมพล สายมาลา


กำลังโหลดความคิดเห็น