กองทุนประกันสังคมไม่สนแผนปตท.ซื้อหุ้นในตลาดคืน เหตุเชื่อมั่นการลงทุนระยะยาว แต่ถ้ามีจริงอาจต้องพิจารณารายละเอียดโครงการกันอีกรอบ ขณะที่ "บลจ." ยังไม่ฟันธงขอเวลาพิจารณารายละเอียดก่อน แต่ยังมั่นใจศักยภาพบริษัทสูงแม้จะโดนภาวะความผันผวนของตลาดทั่วโลกกดดันจนราคาหุ้นร่วง ผู้จัดการกองทุนเตือนถ้าเกิดจริงอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของนักลงทุนไทย-เทศ ขณะที่โบรกเกอร์ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากที่นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทกำลังพิจารณาว่าจะมีโครงการซื้อหุ้นของบริษัทคืนจากตลาดหลักทรัพย์หรือไม่หลังจากราคาหุ้นลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการซื้อหุ้นคืนถือเป็นหลักการสากลโลกที่ทำกัน และในประเทศไทยเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะบริษัทจดทะเบียนมีสิทธิที่จะซื้อหุ้นคืนอยู่แล้ว โดยปัจจุบันหุ้นของปตท.นับเป็นหลักทรัพย์ที่กองทุนหุ้นของทุกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) รวมไปถึงสำนักงานประกันสังคมเอง ได้มีการแบ่งเงินซื้อหุ้นเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนจำนวนมาก ดังนั้นโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้คงจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการปรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนต่างๆเช่นเดียวกัน
นายวิน พรหมแพทย์ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานประกันสังคม คาดว่าแม้ปตท.จะมีการจัดโครงการซื้อหุ้นของบริษัทคืนจากตลาดหลักทรัพย์ขึ้น แต่ทางสำนักงานคงจะไม่มีการขายหลักทรัพย์คืน เนื่องมาจากการลงทุนของสำนักงานเป็นการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตามถ้าเกิดโครงการดังกล่าวจริงคงจะต้องมีการพิจารณารายละเอียดของโครงการอีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามโครงการรับซื้อคืนหุ้นนับเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เพราะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อบริษัทและนักลงทุนรายย่อย โดยในส่วนของผลดีต่อบริษัทจะเป็นการลดแรงกดดันจากการที่ราคาหลักทรัพย์มีการปรับตัวลดลง ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยเองก็จะได้รับประโยชน์เนื่องมาจากการขายหุ้นคืนจะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนโดยไม่ต้องเสียภาษีต่างจากการได้รับเงินปันผลที่นักลงทุนจะต้องเสียภาษีจากรายได้ในส่วนดังกล่าวด้วย แต่การลงทุนของกองทุนประกันสังคมนั้นไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว
"เราไม่รู้ว่าจะขายไปทำไม เพราะเราเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งการที่ราคาหุ้นของบมจ.ปตท.ปรับตัวลดลงมานั้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นผลตามสภาวะตลาดหุ้นโดยรวม ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั่วโลกมากกว่า รวมทั้งยังเชื่อมั่นว่ากลุ่มพลังงานจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว" นายวิน กล่าว
บลจ.ขอดูรายละเอียดโครงการก่อน
นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับโครงการรับซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นของบมจ.ปตท.นั้น ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจริง แต่ถ้า PTT มีโครงการดังกล่าวเกิดขึ้น บริษัทคงจะต้องพิจารณาก่อนว่าปตท.จะกำหนดราคาในการรับซื้อคืนที่เท่าใด และมีเงื่อนไข บทบังคับใช้ ที่น่าสนใจมากน้อยเพียงใด
"หุ้นของ PTT เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งหากราคาที่บริษัทจะรับซื้อคืนต่ำกว่าราคาที่นักลงทุนซื้อ นักลงทุนคงไม่ต้องการที่จะขายคืน และถ้ากำหนดราคาซื้อคืนเท่าราคาตอน IPO ก็คงไม่มีใครสนใจเหมือนกัน อย่างไรก็ตามหาก PTT มีการซื้อหุ้นคืนจริง อาจจะส่งผลทำให้บมจ.ปตท.ขาดความน่าเชื่อถือทั้งจากนักลงทุนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของไทยได้" นายวิชชุ กล่าว
ขณะเดียวกัน สำหรับบริษัทมองว่าปตท.ถือเป็นบริษัทที่ดี ซึ่งสามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น โดยราคาหุ้นของ PTT ที่ปรับตัวลดลงในขณะนี้น่าจะเป็นผลมาจากภาวะความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกมากกว่า และถ้าพิจารณาแล้วส่วนตัวยังประเมินว่า PTT ยังเป็นบริษัทที่มีศักยภาพอยู่
ด้านนายกรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าสาเหตุที่ปตท.ต้องการซื้อหุ้นคืนคงเป็นเพราะราคาหุ้นในปัจจุบันนั้นไม่สะท้อนกับราคาหุ้นที่แท้จริง จึงทำให้เกิดความคิดที่จะซื้อหุ้นคืน เพื่อพยุงราคาหุ้นให้เหมาะสมกับราคาที่ควรจะเป็น
สำหรับสาเหตุที่หุ้นของปตท.ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากตอนนี้นั้น เป็นผลมาจากหลายปัจจัยรวมไปถึงนโยบายของภาครัฐ อย่างไรก็ตามโครงการซื้อหุ้นของบริษัทคืนจากตลาดหลักทรัพย์นั้น ถือว่าเป็นโอกาสดีสำหรับการบริหารของบริษัท เนื่องจากจะได้ซื้อหุ้นกลับคืนมาบริหารจัดการเอง
"บลจ.มองว่าบริษัท ปตท.ถือว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงดี มีการเติบโตทั้งทางด้านกำไร รายได้ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากหลักการของรัฐบาลก็ตาม ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ ถือว่ายังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีถึงแม้ว่าราคาหุ้นในปัจจุบันจะไม่ดีนักก็ตาม" นายกรวุฒิ กล่าว
แหล่งข่าวจากผู้จัดการกองทุน กล่าวว่า โครงการซื้อหุ้นของบริษัทคืนจากตลาดหลักทรัพย์ของ PTT นั้น ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนเป็นเพียงแนวความคิดเท่านั้น แต่ถ้ามีจริง คงจะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดการรับซื้อว่าเป็นอย่างไร แต่ส่วนตัวคาดว่าถ้าเกิดโครงการดังกล่าวจริงไม่น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันมากนัก เนื่องมาจากนักลงทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่นิยมลงทุนระยะยาวมากกว่านักลงทุนรายย่อย
ก่อนหน้านี้นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ระบุว่าการลงทุนของกองทุนรวม วายุภักษ์ 1 ได้แบ่งการลงทุนออกเป็น 70/30 โดยสัดส่วนการลงทุน 70% ของกองทุนเป็นการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท ปทต. ธนาคารไทยพาณิชย์ ปตท.สผ. IRPC โดยในสัดส่วนดังกล่าวเป็นสัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มสถาบัน ซึ่งจะไม่มีการซื้อขาย และอีก 30% นั้น เป็นการลงทุนในหุ้นที่ทำการซื้อขายปกติในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้สำหรับหุ้นที่ได้รับปันผลมากนั้นจะเป็นในส่วนของหุ้นที่ไม่มีการซื้อขายในตลาด
โดยแนวโน้มการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง คณะกรรมการการลงทุนจะต้องจับจังหวะการลงทุนให้ดี เพราะตลาดยังคงจะมีความผันผวนอยู่ ซึ่งขณะนี่ตลาดหลักทรัพย์ภายในประเทศมีการปรับตัวลงมาเยอะมาก และคิดว่าคงไม่ปรับตัวต่ำลดลงมามากกว่านี้ โดยในช่วงนี้ทางคณะกรรมการการลงทุนได้พยายามเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในส่วนของ 30% ของกองทุนหรือประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหุ้นที่มีสามารถจ่ายเงินปันผลดี มีอนาคต หรือมีพื้นฐานที่ดี เข้ามาเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนสำหรับการทำกำไรในระยะยา
โบรกเกอร์แนะนำซื้อหุ้น"PTT"
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทให้คำแนะนำ "ซื้อ" หลักทรัพย์ของบมจ.ปตท. โดยกำหนดราคาเป้าหมายที่ 390.73 บาทต่อหุ้น เนื่องมาจากคาดการณ์ว่า PTT จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Norm Profit) ประจำไตรมาสที่ 2 เท่ากับ 3.28 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.8% จากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหลักและบริษัทในเครือ โดยเฉพาะธุรกิจก๊าซที่ปริมาณขายก๊าซฯผ่านท่อส่งก๊าซฯและจากโรงแยกก๊าซ น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.8% และ 7% จากไตรมาสที่ผ่านมาตามลำดับ
ขณะเดียวกัน PTT น่าจะได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เพราะประเมินว่าบริษัทดังกล่าวจะทำสถิติผลกำไรสูงสุดในไตรมาสที่ผ่านมาจากทั้งราคาและปริมาณขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงคาดการณ์กำไรจากเงินลงทุนในบริษัทย่อยจะปรับตัวสูงขึ้นจากธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลัก ด้านธุรกิจปิโตรเคมีนั้น ภาพรวมน่าจะปรับตัวขึ้นกว่าในงวดก่อนหน้าเพราะราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ปัจจุบันราคาหุ้นในตลาดของ PTT ต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมากซึ่งน่าจะสะท้อนปัญหาการแทรกแซงของภาครัฐเพราะเป็นบริษัทพลังงานใหญ่สุดของประเทศไปแล้ว ขณะที่มูลค่าที่ PTT อาจจะต้องสูญเสียจากการอุดหนุนจะไม่มีนัยยะหากเทียบกับกำไรทั้งปี 2551 ของบริษัท ประกอบกับการคาดหวังเงินปันผลงวดครึ่งแรกของปี 2551 เป็นอัตราอย่างน้อยหุ้นละ 5.50 บาท ทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"
ทั้งนี้ราคาหลักทรัพย์ของ PTT วานนี้ (30 ก.ค.51) ปิดที่ 236.00 บาท ลดลง 8.00 บาท หรือ 3.28% และมีมูลค่าการซื้อขาย 1,715.93 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีราคาของ PTT ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ 382.00 จุด ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 และทำสถติต่ำสุดที่ 234.00 จุด ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2551
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากที่นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทกำลังพิจารณาว่าจะมีโครงการซื้อหุ้นของบริษัทคืนจากตลาดหลักทรัพย์หรือไม่หลังจากราคาหุ้นลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการซื้อหุ้นคืนถือเป็นหลักการสากลโลกที่ทำกัน และในประเทศไทยเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะบริษัทจดทะเบียนมีสิทธิที่จะซื้อหุ้นคืนอยู่แล้ว โดยปัจจุบันหุ้นของปตท.นับเป็นหลักทรัพย์ที่กองทุนหุ้นของทุกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) รวมไปถึงสำนักงานประกันสังคมเอง ได้มีการแบ่งเงินซื้อหุ้นเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนจำนวนมาก ดังนั้นโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้คงจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการปรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนต่างๆเช่นเดียวกัน
นายวิน พรหมแพทย์ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานประกันสังคม คาดว่าแม้ปตท.จะมีการจัดโครงการซื้อหุ้นของบริษัทคืนจากตลาดหลักทรัพย์ขึ้น แต่ทางสำนักงานคงจะไม่มีการขายหลักทรัพย์คืน เนื่องมาจากการลงทุนของสำนักงานเป็นการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตามถ้าเกิดโครงการดังกล่าวจริงคงจะต้องมีการพิจารณารายละเอียดของโครงการอีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามโครงการรับซื้อคืนหุ้นนับเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เพราะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อบริษัทและนักลงทุนรายย่อย โดยในส่วนของผลดีต่อบริษัทจะเป็นการลดแรงกดดันจากการที่ราคาหลักทรัพย์มีการปรับตัวลดลง ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยเองก็จะได้รับประโยชน์เนื่องมาจากการขายหุ้นคืนจะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนโดยไม่ต้องเสียภาษีต่างจากการได้รับเงินปันผลที่นักลงทุนจะต้องเสียภาษีจากรายได้ในส่วนดังกล่าวด้วย แต่การลงทุนของกองทุนประกันสังคมนั้นไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว
"เราไม่รู้ว่าจะขายไปทำไม เพราะเราเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งการที่ราคาหุ้นของบมจ.ปตท.ปรับตัวลดลงมานั้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นผลตามสภาวะตลาดหุ้นโดยรวม ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั่วโลกมากกว่า รวมทั้งยังเชื่อมั่นว่ากลุ่มพลังงานจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว" นายวิน กล่าว
บลจ.ขอดูรายละเอียดโครงการก่อน
นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับโครงการรับซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นของบมจ.ปตท.นั้น ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจริง แต่ถ้า PTT มีโครงการดังกล่าวเกิดขึ้น บริษัทคงจะต้องพิจารณาก่อนว่าปตท.จะกำหนดราคาในการรับซื้อคืนที่เท่าใด และมีเงื่อนไข บทบังคับใช้ ที่น่าสนใจมากน้อยเพียงใด
"หุ้นของ PTT เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งหากราคาที่บริษัทจะรับซื้อคืนต่ำกว่าราคาที่นักลงทุนซื้อ นักลงทุนคงไม่ต้องการที่จะขายคืน และถ้ากำหนดราคาซื้อคืนเท่าราคาตอน IPO ก็คงไม่มีใครสนใจเหมือนกัน อย่างไรก็ตามหาก PTT มีการซื้อหุ้นคืนจริง อาจจะส่งผลทำให้บมจ.ปตท.ขาดความน่าเชื่อถือทั้งจากนักลงทุนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของไทยได้" นายวิชชุ กล่าว
ขณะเดียวกัน สำหรับบริษัทมองว่าปตท.ถือเป็นบริษัทที่ดี ซึ่งสามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น โดยราคาหุ้นของ PTT ที่ปรับตัวลดลงในขณะนี้น่าจะเป็นผลมาจากภาวะความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกมากกว่า และถ้าพิจารณาแล้วส่วนตัวยังประเมินว่า PTT ยังเป็นบริษัทที่มีศักยภาพอยู่
ด้านนายกรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าสาเหตุที่ปตท.ต้องการซื้อหุ้นคืนคงเป็นเพราะราคาหุ้นในปัจจุบันนั้นไม่สะท้อนกับราคาหุ้นที่แท้จริง จึงทำให้เกิดความคิดที่จะซื้อหุ้นคืน เพื่อพยุงราคาหุ้นให้เหมาะสมกับราคาที่ควรจะเป็น
สำหรับสาเหตุที่หุ้นของปตท.ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากตอนนี้นั้น เป็นผลมาจากหลายปัจจัยรวมไปถึงนโยบายของภาครัฐ อย่างไรก็ตามโครงการซื้อหุ้นของบริษัทคืนจากตลาดหลักทรัพย์นั้น ถือว่าเป็นโอกาสดีสำหรับการบริหารของบริษัท เนื่องจากจะได้ซื้อหุ้นกลับคืนมาบริหารจัดการเอง
"บลจ.มองว่าบริษัท ปตท.ถือว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงดี มีการเติบโตทั้งทางด้านกำไร รายได้ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากหลักการของรัฐบาลก็ตาม ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ ถือว่ายังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีถึงแม้ว่าราคาหุ้นในปัจจุบันจะไม่ดีนักก็ตาม" นายกรวุฒิ กล่าว
แหล่งข่าวจากผู้จัดการกองทุน กล่าวว่า โครงการซื้อหุ้นของบริษัทคืนจากตลาดหลักทรัพย์ของ PTT นั้น ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนเป็นเพียงแนวความคิดเท่านั้น แต่ถ้ามีจริง คงจะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดการรับซื้อว่าเป็นอย่างไร แต่ส่วนตัวคาดว่าถ้าเกิดโครงการดังกล่าวจริงไม่น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันมากนัก เนื่องมาจากนักลงทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่นิยมลงทุนระยะยาวมากกว่านักลงทุนรายย่อย
ก่อนหน้านี้นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ระบุว่าการลงทุนของกองทุนรวม วายุภักษ์ 1 ได้แบ่งการลงทุนออกเป็น 70/30 โดยสัดส่วนการลงทุน 70% ของกองทุนเป็นการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท ปทต. ธนาคารไทยพาณิชย์ ปตท.สผ. IRPC โดยในสัดส่วนดังกล่าวเป็นสัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มสถาบัน ซึ่งจะไม่มีการซื้อขาย และอีก 30% นั้น เป็นการลงทุนในหุ้นที่ทำการซื้อขายปกติในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้สำหรับหุ้นที่ได้รับปันผลมากนั้นจะเป็นในส่วนของหุ้นที่ไม่มีการซื้อขายในตลาด
โดยแนวโน้มการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง คณะกรรมการการลงทุนจะต้องจับจังหวะการลงทุนให้ดี เพราะตลาดยังคงจะมีความผันผวนอยู่ ซึ่งขณะนี่ตลาดหลักทรัพย์ภายในประเทศมีการปรับตัวลงมาเยอะมาก และคิดว่าคงไม่ปรับตัวต่ำลดลงมามากกว่านี้ โดยในช่วงนี้ทางคณะกรรมการการลงทุนได้พยายามเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในส่วนของ 30% ของกองทุนหรือประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหุ้นที่มีสามารถจ่ายเงินปันผลดี มีอนาคต หรือมีพื้นฐานที่ดี เข้ามาเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนสำหรับการทำกำไรในระยะยา
โบรกเกอร์แนะนำซื้อหุ้น"PTT"
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทให้คำแนะนำ "ซื้อ" หลักทรัพย์ของบมจ.ปตท. โดยกำหนดราคาเป้าหมายที่ 390.73 บาทต่อหุ้น เนื่องมาจากคาดการณ์ว่า PTT จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Norm Profit) ประจำไตรมาสที่ 2 เท่ากับ 3.28 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.8% จากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหลักและบริษัทในเครือ โดยเฉพาะธุรกิจก๊าซที่ปริมาณขายก๊าซฯผ่านท่อส่งก๊าซฯและจากโรงแยกก๊าซ น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.8% และ 7% จากไตรมาสที่ผ่านมาตามลำดับ
ขณะเดียวกัน PTT น่าจะได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เพราะประเมินว่าบริษัทดังกล่าวจะทำสถิติผลกำไรสูงสุดในไตรมาสที่ผ่านมาจากทั้งราคาและปริมาณขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงคาดการณ์กำไรจากเงินลงทุนในบริษัทย่อยจะปรับตัวสูงขึ้นจากธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลัก ด้านธุรกิจปิโตรเคมีนั้น ภาพรวมน่าจะปรับตัวขึ้นกว่าในงวดก่อนหน้าเพราะราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ปัจจุบันราคาหุ้นในตลาดของ PTT ต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมากซึ่งน่าจะสะท้อนปัญหาการแทรกแซงของภาครัฐเพราะเป็นบริษัทพลังงานใหญ่สุดของประเทศไปแล้ว ขณะที่มูลค่าที่ PTT อาจจะต้องสูญเสียจากการอุดหนุนจะไม่มีนัยยะหากเทียบกับกำไรทั้งปี 2551 ของบริษัท ประกอบกับการคาดหวังเงินปันผลงวดครึ่งแรกของปี 2551 เป็นอัตราอย่างน้อยหุ้นละ 5.50 บาท ทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"
ทั้งนี้ราคาหลักทรัพย์ของ PTT วานนี้ (30 ก.ค.51) ปิดที่ 236.00 บาท ลดลง 8.00 บาท หรือ 3.28% และมีมูลค่าการซื้อขาย 1,715.93 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีราคาของ PTT ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ 382.00 จุด ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 และทำสถติต่ำสุดที่ 234.00 จุด ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2551