xs
xsm
sm
md
lg

พ.ร.บ.ใหม่ฉุดยอดเงินฝากแบงก์ทั้งระบบปรับลด-หนีลงทุนสินทรัพย์อื่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อีก 5 ปีฝากเงินแบงก์เริ่มมีความเสี่ยง หลังพ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากมีผลเต็มอัตรา แนะนักลงทุนจัดพอร์ตตามความเสี่ยงที่ตนรับได้ ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อทั้งฝากทั้งระบบจากลดลงจากพ.ร.บ.ฉบับนี้ และการลงทุนผ่านสินทรัพย์ต่างๆจะเพิ่มมากขึ้น ขณะที่คนรวยเกิน 1 ล้านส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบยังมีจำนวนไม่มาก แต่เม็ดเงินสูงกว่าบัญชีธรรมดาถึง 3.3 ล้านล้านบาท

นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์และพัฒนาระบบการเงินสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงิน ในเดือนสิงหาคมนี้ เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งประชาชนจะต้องมีการปรับตัว และรับรู้ว่าในอนาคตการฝากเงินจะมีความเสี่ยงดเหมือนการลงทุนเช่นกัน

สำหรับจุดประสงค์ของพ.ร.บ.นี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองเงินฝากให้กับประชาชน ซึ่งจากเดิมหากเกิดเหตุการณ์ที่สถาบันการเงินมีความจำเป็นจะต้องปิดกิจการ ลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนจากรัฐบาล โดยเงินที่นำมาจ่ายคืนแก่ลูกค้าของธนาคารจะเป็นเงินภาษีของประชาชน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อประชาชนทั่วไปขึ้น

ทั้งนี้ การประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้ส่วนหนึ่งจะเป็นการช่วยลดความเสียหายของผู้ออมเงิน และจะช่วยลดภาระของรัฐบาลในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องปิดสถาบันการเงิน

นายโชติชัย กล่าวอีกว่า การให้ความคุ้มครองเงินฝากจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคมนี้ โดยในปีแรกจะยังคงให้การคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน และในปีที่ 2 จะให้ความคุ้มครองทุกบัญชีใน 1 สถาบันการเงินละ 100 ล้านบาท ในปีที่ 3 จะให้ความคุ้มครองทุกบัญชีใน 1 สถาบันการเงินละ 50 ล้านบาท ในปีที่ 4 จะให้ความคุ้มครองทุกบัญชีใน 1 สถาบันการเงินละ 10 ล้านบาท และในปีสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไปจะให้ความคุ้มครองทุกบัญชีใน 1 สถาบันการเงินละ 1 ล้านบาท

“การปรับตัวของประชาชนหลังประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้คงจะยังไม่มีปัญหาในปีแรก เนื่องจากยังให้ความคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน แต่ในอนาคตประชาชนจะต้องปรับตัวเพิ่มมากขึ้น โดยจะต้องประเมินตัวเองให้ไดัว่าจะสามารถรับความเสี่ยงได้ขนาดไหน”นายโชติชัยกล่าว

ทั้งนี้ เชื่อว่าการประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นผลดีต่อประชาชนนอกเหนือจากความคุ้มครองเงินฝากที่จะได้รับ ซึ่งการแข่งขันระหว่างสถาบันการเงินในด้านการบริหารเงิน และโปรดักซ์ ต่างๆ จะมีความรัดกุม และหลากหลายมากขึ้น เพื่อเป็นช่องทางให้กับประชาชนในการเลือกใช้บริการได้เป็นอย่างดี

นายพิศาล มโนลีหกุล ประธานกรรมการ บจก. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การประกาศใช้พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากในเบื้องต้นคงจะไม่มีผลต่อการฝากเงินของประชาชนมากนัก เนื่องจากยังได้รับการคุ้มครองเต็มจำนวน แต่หลังจากนั้น จำนวนเงินฝากของแต่ละคนจะลดลงตามสัดส่วน

ทั้งนี้จาการสำรวจพบว่า ผลกระทบต่อพ.ร.บ.ฉบับนี้ต่อประชาชนที่มีเงินฝากในธนาคารพาณิชย์เกิน 1 ล้านบาท จะคิดเป็น 1.2%ของจำนวนบัญชีเงินฝาก 74.66 ล้านบัญชี หรือประมาณ 9 แสนบัญชีเท่านั้นแต่หากคิดเป็นเม็ดเงินรวมทั้งหมดจาการฝากเงินที่ 8 ล้านบาท จะเป็นเงินของผู้มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท จำนวนกว่า 5.5 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าจำนวนบัญชี 73.4 ล้านบัญชีที่มีเพียง 2.2 ล้านล้านบาทเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในอนาคตอัตราเงินฝากภายในประเทศจะลดลง โดยหากดูจากค่าเฉลี่ยของเงินฝาก 3 ปีก่อนหน้านี้จะขยายตัวเพียงแค่ 4.8% คือประมาณ 3.8 แสนล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้หากประเมิณจากจีดีพีของประเทศแล้ว การขยายตัวของเงินฝากคงจะลดลงเหลือเพียง 2.8 แสนล้านบาท โดยเงินส่วนใหญ่จะมีการกระจายตัวเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพิ่มมากขึ้นทั้งในส่วนของกองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และหุ้น

ด้านนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้น่าจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวม เนื่องจากคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยการลงทุนของนักลงทุนจำเป็นที่จะต้องจัดอันดับความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

“การใช้พ.ร.บ.นี้แน่นอนว่ามีผลดีต่อธุรกิจกองทุนรวม ซึ่งน่าจะมีเงินไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่นักลงทุนจะต้องเข้าใจความผันผวนของการลงทุนด้วยเช่นกัน โดยขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่หันมาเริ่มสนใจการลงทุนผ่านกองทุนมากขึ้นแล้วตั้งแต่ช่วงที่ผ่านมา”นางวิวรรณกล่าว

สำหรับผู้ลงทุนในระยะแรก ควรจะต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยก่อน และค่อยขยายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงตามลำดับ เช่นเดียวกับลักษณะของปิรามิดที่เริ่มจากฐานกว้างและขยายแคบลงในช่วงปลาย

ทั้งนี้กองทุนที่อยากแนะนำให้ประชาชนเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นได้แก่ กองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งมีความเสี่ยงและสภาพคล่องใกล้เคียงกับเงินฝาก โดยทางบริษัทมีกองทุนให้เลือกลงทุนทั้ง K-Money และ K-Treasury ซึ่งจะลงทุนในตราสารหนี้และสั้นทำให้มีความผันผวนเพียงแค่ 0.02% และที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 2.73%
กำลังโหลดความคิดเห็น