xs
xsm
sm
md
lg

แอสเซทพลัสจับจังหวะดบ.ขึ้น เปิดขาย3กองทุนพันธบัตรไทย-ต่างประเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.แอสเซท พลัส จับจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้น หลัง กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เตรียมเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ 3 กองทุน ส่งท้ายเดือนกรกฎาคม ได้เเก่ "ASP-MMF1"ลงทุนตราสารในประเทศ คาดยิลด์ 3.30% ต่อปี ส่วน"GBF-3M1"ลุยพันธบัตรรัฐบาล ยิลด์ 3.00% และ"SIF-6M1" ลุยในตราสารหนี้ในและต่างประเทศไม่เกิน 50% คาดผลตอบแทน 3.65-3.70% ต่อปี

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า จากตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน 2551 ได้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 8.90% ในขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน ปรับสู่ระดับ 3.60% ซึ่งทะลุระดับเงินเฟ้อเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 0-3.50% ส่งผลให้เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ธปท. ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP 1 วัน) อีก 0.25% จากระดับ 3.25% มาอยู่ที่ระดับ 3.50% ต่อปี เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง เพราะอาจมีผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ศักยภาพการเติบโต และความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยผลตอบแทนพันธบัตรได้ปรับขึ้นไปก่อนหน้าแล้ว

“ในส่วนของภาวะการลงทุนในช่วงนี้ การลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ซึ่งนอกจากจะสามารถลดความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยที่กำลังอยู่ในขาขึ้น ณ ขณะนี้ได้ ยังสร้างโอกาสรับผลตอบแทนตามภาวะตลาดในช่วงขาขึ้นจากการ Roll-over แต่ละรอบด้วย” นางสาวจารุลักษณ์กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจึงเตรียมเปิดขายและรับซื้อคืนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นรอบใหม่ 3 กองทุน เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย โดยในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ กองทุนแอสเซทพลัสทวีเงินออม 1 (ASP-MMF1) ที่มีรอบระยะเวลาการลงทุนทุก 3 เดือนเเละให้ผลตอบเเทนอยูที่ 3.30% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ และเอกชนในประเทศอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade ขึ้นไป เช่น ตั๋วแลกเงิน หรือ หุ้นกู้ ของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ อันดับความน่าเชื่อถือ A โดย ทริสเรตติ้ง ,บมจ. บัตรกรุงไทย อันดับความน่าเชื่อถือ A- และบมจ.ภัทรลีสซิ่ง อันดับความน่าเชื่อถือ A- เป็นต้น

สำหรับ กองทุนที่ 2 คือ กองทุนเปิดพันธบัตรคุ้มครองเงินต้น 3M1 (GBF-3M1) ที่มีรอบการลงทุนทุก 3 เดือน คาดผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 3.00% ต่อปี โดยจะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ วันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย อายุประมาณ 3 เดือน เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายคุ้มครองเงินลงทุนเริ่มต้น

ส่วนกองทุนสุดท้ายที่เปิดขายในเดือน กรกฎาคม คือ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทรัพย์มั่นคง 6M1 (SIF-6M1) มีรอบระยะเวลาการลงทุนทุก 6 เดือน คาดการณ์ผลตอบเเทนกองทุนอยู่ที่ 3.65-3.70% ต่อปี ซึ่งผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนในตราสารดังกล่าวได้หักค่าใช้จ่ายการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน หรือ Fully Hedge ประมาณ 0.40% โดยจะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ วันที่ 31 กรกฎาคม

โดย กองทุน SIF-6M1 จะเน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพทั้งในและต่างประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนไทยที่มี Credit rating ตั้งแต่ระดับ Investment Grade ขึ้นไป และตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินต่างประเทศ (ECP) เช่น Korean Development Bank Export-Import Bank of Korea และ Emirates Bank เป็นต้น ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับการจัดอันดับ Credit Rating โดยสถาบัน S&P ในระดับ A-1 เพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทนให้สูงขึ้นและลดความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น