xs
xsm
sm
md
lg

กองทุนรวม VS ลงทุนด้วยตนเอง เเบบไหน...ปลอดภัยกว่ากัน?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ช่วงนี้หลายคนที่เป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นนักเกร็งกำไร หรือผู้ลงทุนสมัครเล่น พากันประเมินสถานณ์ตลาดหุ้นรายวันเลยทีเดียว บางคนก็คาดเดาสถานณ์การณ์ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เเล้วเเต่ว่าใครมีข้อมูลข่าวสารที่ผ่านการวิเคราะห์มาเเล้วอย่างดี หรือพูดภาษาชาวบ้านว่าใครดวงดีก็ได้กำไรซื้อถูก ขาย จังหวะ เเต่ถ้าใครดวงไม่ดีก็ขาดทุนอย่างที่เห็น

วันนี้ "Mutualfund Guideline" มีคำตอบเกี่ยวกับ ข้อดีข้อเสียของการลงทุนโดยตรงเเละลงทุนผ่านกองทุนรวม มาให้ท่านที่กำลังตัดสินใจเข้าสู่การซื้อขายในตลาดหุ้น ท่ามกลางความไม่เเน่นอนของตลาดเเห่งนี้...ว่าท่านเหมาะที่จะลงทุนหุ้นโดยตนเองหรือกองทุนรวม
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) . อยุธยา จำกัด หรือ เอวายเอฟ กล่าวถึงความเเตกต่างของผู้ลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงเเละผู้ลงทุนผ่านกองทุนรวมว่า การลงทุนโดยตรงจะได้รับความเสี่ยงจากการลงทุนค่อนข้างมาก ในเเง่การกระจายการลงทุน เนื่องจากการซื้อหุ้นเเต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนมาก ประกอบกับการซื้อเเต่ละครั้งก็ซื้อหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ต่างจากการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งกองทุนรวมสามารถซื้อลงทุนในหลักทรัพย์ตั้งเเต่ 10-30 ตัวตามเเต่สไตล์การบริหารการจัดการของบลจ.เเละผู้จัดการกองทุน

เเละต้องยอมรับกันว่า กองทุนรวมเป็นอาชีพในเเต่ละวันของบลจ. จึงมีการศึกษาข้อมูลของบริษัทนั้นๆ ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนมากกว่าการลงทุนโดยตรง ซึ่งผู้ลงทุนโดยตรงนั้นอาจจะได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อ โบรกเกอร์ ที่สำคัญอาจะเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์ หรืออาจเป็นประสบการณ์โดยตรงจากผู้ลงทุนก็ได้ ซึ่ง

ขณะเดียวกัน การเข้าถึงข้อมูล การพบปะผู้บริหารบริษัทที่เข้าไปถือหุ้นนั้น ในเเง่ของผู้ลงทุนโดยตรงเป็นไปได้ยาก ซึ่งการประชุมผู้ถือหุ้นนั้นมีเเค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น เเล้วไม่รู้ว่าจะได้ซักถามข้อสงสัยหรือไม่ เพราะผู้เข้าประชุมค่อนข้างมากก็เป็นได้ เเต่หากเป็นกองทุนรวมนั้นการพบปะพูดคุยหรือเพื่อการขอข้อมูลเป็นไปได้ง่ายกว่า นอกจากนี้การบริหารกองทุนของบลจ.ต่างๆจะใช้หลักการณ์เเละเหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์ความรู้สึกหรือการเลือกซื้อหุ้นตามกัน ขณะการตัดสินในการซื้อขายหุ้นโดยผู้ลงทุนเองอาจจะมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจว่าจะซื้อขายตอนไหน โดยเฉพาะตอนนี้ที่ตลาดหุ้นกำลังผันผวน

"อยากให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจว่าจะลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงหรือจะลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้น ศึกษาข้อดีข้อเสียของการลงทุนทั้ง 2 อย่างเสียก่อน ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนที่สนใจ พร้อมกับเปรียบเทียบการข้อมูลการซื้อขายโดยตรง ว่าผลการดำเนินงานเป็นเช่นไร หลังจากนั้นก็ดูว่าผลตอบเเทนของการลงทุนทั้ง 2 เเบบว่าเป็นอย่างไร อันไหนให้ผลตอบเเทนที่ดีกว่า หรืออันไหนให้ผลตอบเเทนติดลบ เเล้วค่อยตัดสินใจว่าการลงทุนเเบบไหนเหมาะกับตัวคุณเเละให้ผลตอบเเทนดีกว่า" ประภาส กล่าวทิ้งท้าย
วรรธนะ วงศ์สีนิล
ทางด้าน วรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ฟิลลิป จำกัด ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์เกิดภาวะความผันผวนอย่างหนัก ทำให้นักลงทุนทั้งหลายจับทิศทางหรือแนวโน้มการลงทุนได้อย่างยากลำบากว่า สำหรับนักลงทุนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนหรือมีเงินเดือนประจำอยู่แล้ว อยากให้เลือกที่จะลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) เพราะว่ากองทุนทั้งสองนี้ สามารถช่วยนักลงทุนในเรื่องของการลดหย่อนภาษีได้ โดยในช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการลงทุนหรือการเข้าซื้อหุ้นเพื่อทำกำไรเป็นอย่างมาก เพราะตลาดในช่วงนี้ถือว่าตกลงมามาก อย่างตอนนี้ดัชชนีตลาดหลักทรัพย์ยังคงอยู่ที่ประมาณ 680 จุด ซึ่งจะให้ต่ำว่านี้คงจะยาก

ทั้งนี้ จากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง.ในช่วงที่ผ่านมาได้มีมติออกมาให้มีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทำให้การลงทุนในกองทุนรวมหรือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีแน้วโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในระยะเวลาอันใกล้นี้

หากนักลงทุนที่ต้องการเลือกลงทุนด้วยตัวเองนั้น ทางบลจ. ขอแนะนำว่าให้นักลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น 50:50 หรือ 60:40 โดยเลือกลงทุนในกองทุนรวม 60% ของเงินทั้งหมด และควรจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น หุ้นเหล่านี้ก็จะสามารถพื้นตัวกลับมาก่อนหุ้นกลุ่มอื่นๆ ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวมนั้น สามารถที่จะบริหารความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อการลงทุนได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยทั่วไปแล้วนิสัยนักลงทุนชาวไทยส่วนหนึ่งชอบที่จะลงทุนเองโดยไม่ผ่านทางกองทุน ซึ่งนักลงทุนจะนิยมลงทุนในหุ้นตัวที่นักลงทุนสนใจ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยที่นักลงทุนจะมุ่งเงินจำนวนมากในหุ้นเพียงตัวใดตัวหนึ่ง เพราะหากลงทุนในหุ้นหลายตัวจะทำให้นักลงทุนไม่สามารถทำการซื้อขายได้อยากมีประสิทธิภาพ

"เราก็อยากแนะนำให้นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นหันมากระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมไม่ว่าจะเป็นกองทุนLTFหรือRMF เพราะการลงทุนในกองทุนรวมนั้นยังสามารถลดหย่อนภาษีมูลค่าเพิ่มและยังสามารถที่จะโยกย้ายสับเปลี่ยนการลงทุนได้ อีกทั้งโอกาสที่จะขาดทุนนั้นเป็นไปได้อยากเพราะกองทุนทั้งสองเป็นกองทุนที่สามรถทำกำไรได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน" วรรธนะกล่าวปิดท้าย

ส่วน วิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ให้คำแนะนำแก่นักลงทุนที่จะนำเงินเข้าไปลงทุนผ่านกองทุนรวมว่า หากนักลงทุนจะนำเงินเข้ามาลงทุนผ่านทางกองทุนรวมก็ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสม แต่นักลงทุนไม่ควรหวังผลกำไรในช่วงระยะสั้นๆนี้ เพราะยังมีตลาดหุ้นยังมีความผันผวนอยู่ แต่ควรจะหวังผลได้ในช่วงระยะ 1-2 ปีต่อจากนี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนคงต้องรอดูการประกาศผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 ที่จะมีการประกาศออกมาในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนั้นในช่วงนี้อาจจะต้องชะลอการลงทุนลงเล็กน้อยเพื่อรอดูสถานการณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่สำคัญคือเรื่องของราคานํ้ามันกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหากราคานํ้ามันนิ่งอยู่ที่ 120 เหรียญต่อดอลลาร์สหรัฐ และอัตราเงินเฟ้อไม่พุ่งสูงขึ้นมากไปกว่านี้ ตลาดหุ้นคงจะไม่ผันผวนมากนักเพราะในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเป็นเพราะได้รับผลจากราคานํ้ามันกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น แต่หากราคานํ้ามันยังไม่นิ่งตลาดหุ้นก็คงได้รับผลกระทบต่อไปอีก นอกจากนี้ ปัจจัยในเรื่องของการเมืองยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอยู่ แต่โดยส่วนตัวแล้วมองว่า เรื่องของการเมืองเป็นปัจจัยที่ส่งผลระยะสั้นๆ และถือเป็นโอกาสเข้าไปลงทุนในขณะเดียวกัน

สำหรับการประกาศผลประกอบของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 ที่จะออกมาในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ .ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนที่เป็นภาคการผลิตที่ไม่ใช่ บริษัททางการเงินนั้น ค่อนข้างจะได้รับผลกระทบมากกว่าจากราคานํ้ามันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนจะเป็นในเซ็กเตอร์ใดบ้างคงบอกไม่ได้ ขณะเดียวกันใน ส่วนของทาง บลจ.ไทยพาณิชย์เองนั้น บางเซ็กเตอร์ก็ได้รับผลกระทบบ้างแต่บางเซ็กเตอร์ก็ไปได้ดี แต่โดยรวมแล้วยังถือว่ามีการเติบโตจากการลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น