บลจ.ไอเอ็นจีจับจังหวะน้ำมันในตลาดโลกถีบตัวไม่หยุด เข็นกองสตัคเจอร์โน๊ต "ไอเอ็นจี ไทยดับบลิวทีไอ ออยล์ ลิงค์" อิงผลตอบแทนกับการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันเวสต์เท็กซัส โดยกำหนดเงื่อนไขจ่ายยิลด์ตามเสต็ป หากภายใน 6 เดือนโตตามเป้ารับยิลด์ทันที 5% พร้อมยุบกองทิ้ง ถ้าไม่ได้รอดูงวดต่อไป 12 เดือน 18 เดือน และ2ปี ตามลำดับ ส่วนผลตอบแทนไม่น้อยหน้าปรับเพิ่มตามด้วยสูงสุด 20% หากไม่เป็นดังฝันยังรับเงินต้นคืน
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะมีการเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทยดับบลิวทีไอ ออยล์ ลิงค์ (ING Thai WTI Oil Linked Fund) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารแห่งหนี้ที่ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) โดยตราสารดังกล่าวมีผลตอบแทนอ้างอิงกับการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (NYMEX WTI Crude Oil) หรือ CL1 ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอขายหน่วยลงทุนได้ในช่วงวันที่ 22-29 กรกฎาคม 2551 อย่างไรก็ตามวันที่ดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนตราสารแห่งหนี้ที่ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง แบบคุ้มครองเงินต้น 100% ในสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียที่ออกโดยสถาบันการเงินต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ณ ขณะที่ลงทุนอยู่ใน 2 อันดับแรกของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทีได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
โดยกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทยดับบลิวทีไอ ออยล์ ลิงค์ จะมีการพิจารณาระดับราคาน้ำมัน เพื่อทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติและยกเลิกกองทุนเมื่อราคาน้ำมันของเวสต์เท็กซัสมีการเพิ่มขึ้นถึงระดับที่กำหนดไว้ที่ 6% นับจากวันที่กำหนด โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ คือ ถ้าราคาน้ำมันของเวสต์เท็กซัสมีการปรับตัวขึ้นมาเท่ากับหรือมากกว่า 6% ของราคาน้ำมันในช่วงเริ่มต้นลงทุน ณ ประมาณเดือนที่ 6 ของการลงทุน กองทุนจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนและทำการปิดกองทุน โดยผู้ออกตราสารจะชำระคืนเงินต้น 100% บวกกับผลตอบแทนในอัตรา 5% ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย
ขณะที่ถ้าราคาน้ำมันของเวสต์เท็กซัสมีการปรับตัวขึ้นมาเท่ากับหรือมากกว่า 6% ของราคาน้ำมันในช่วงเริ่มต้นลงทุน ณ ประมาณเดือนที่ 12 ของการลงทุน กองทุนจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนและทำการปิดกองทุน โดยผู้ออกตราสารจะชำระคืนเงินต้น 100% บวกกับผลตอบแทนในอัตรา 10% ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย และถ้าราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมาเท่ากับหรือมากกว่า 6% ของราคาน้ำมันในช่วงเริ่มต้นลงทุน ณ ประมาณเดือนที่ 18 กองทุนจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนและทำการปิดกองทุน โดยผู้ออกตราสารจะชำระคืนเงินต้น 100% บวกกับผลตอบแทนในอัตรา 15% ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย
นอกจากนี้ถ้าราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมาเท่ากับหรือมากกว่าระดับที่กำหนด ณ ประมาณเดือนที่ 24 ของการลงทุน กองทุนจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนและทำการปิดกองทุน โดยผู้ออกตราสารจะชำระคืนเงินต้น 100% บวกกับผลตอบแทนในอัตรา 20% ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย และถ้าภายใน 24 เดือน ราคาน้ำมันไม่มีการปรับตัวขึ้นตามระดับที่กำหนดไว้ ผู้ออกตราสารจะชะระคืนเงินต้นทั้งหมดในรูปสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย
"กองทุนนี้ผุ้ลงทุนจะมีโอกาสลงทุนจากการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันและจากการแข็งค่าของค่าเงินออสเตรเลีย แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน ทั้งนี้จากการทำสถิติย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2544 - 26 พ.ค.2549 ซึ่งเป็นข้อมูลที่อัพเดตล่าสุด เพราะกองทุนนี้มีระยะเวลาการลงทุน 2 ปีนั้นพบว่า 68.15% จะได้รับผลตอบแทนภายใน 6 เดือน , 14.44% ได้รับผลตอบแทนภายใน 12 เดือน , 14.33% ได้ผลตอบแทนภายใน 18 เดือน , 2.91% ได้ผลตอบแทนภายใน 24 เดือน และมีเพียง 0.16% เท่านั้น ที่ไม่ได้รับผลตอบแทนแต่ได้เงินต้นคืน ซึ่งจะเห็นได้ว่า 99.83% มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน" นายจุมพล กล่าว
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกมากกว่าการเข้ามาเก็งกำไรของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก 30% เกิดมาจากภาคการขนส่ง แม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้ประหยัดการใช้พลังงานมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถลดการใช้ได้อย่างรวดเร็วในระยะสั้น ในขณะที่ปัญหาทางการเมืองของประเทศผู้ค้าน้ำมันหลายประเทศก็อาจจะเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันเช่นเดียวกัน
"ตอนนี้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจของโลก มากกว่าเพิ่มจากการเก็งกำไร ดังนั้นเชื่อว่าราคาน้ำมันน่าจะสามารถปรับตัวได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต" นายจุมพล กล่าว
ส่วนแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น นายจุมพล กล่าวว่า ปัจจุบันค่าเงินออสเตรเลียมีการแข็งค่าขึ้นมาประมาณ 8% เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทของไทย และคาดว่าในระยะยาวค่าเงินออสเตรเลียน่าจะยังคงแข็งค่าขึ้นอีก เพราะดอกเบี้ยของประเทศออสเตรเลียอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทำให้เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยคงจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ประเทศออสเตรเลียยังเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งตอนนี้ราคามีการปรับตัวสูงขึ้นทำให้เชื่อว่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการลงทุนของกองทุนเช่นเดียวกัน