xs
xsm
sm
md
lg

อีทีเอฟพลังงานจับจังหวะหุ้นถูก แนะนักลงทุนทยอยซื้อชูผลตอบแทน4%ต่อปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ทหารไทยชี้ "Mtrack Energy ETF" จับจังหวะหุ้นพลังงานราคาถูก เผย PE โดยรวมต่ำอยู่ที่ระดับประมาณ 9 -10 เท่า คาดผลตอบแทน 4% ต่อปี แนะนักลงทุนอาศัยจังหวะการทยอยซื้อ เผยระดมทุนช่วง IPO 21-28 ก.ค.นี้ ยอดจองไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท ด้านประเสริฐฟุ้ง น้ำมันแพง ดันยอดขายและกำไรปตท. เติบโต ชี้ปัญหาการเมือง ไม่กระทบแผนลงทุนมูลค่า 8-9 แสนล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า กูรูชี้ราคาน้ำมันโลกเกินร้อยเหรียญสหรัฐ/บาร์เรลต่ออีก 2-3 ปี ข้างหน้า
นางโชติกา สวนานนท์
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด เปิดเผยว่า กองทุน Mtrack Energy ETF ซึ่งเป็น Equity ETF ที่อ้างอิงดัชนีหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคนับว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยตอนนี้กลุ่มพลังงานมี PE อยู่ที่ระดับประมาณ 9 -10 เท่า ยกเว้นบางตัวที่อาจจะมีระดับ PE ที่สูงกว่านั้น แต่โดยรวมยังนับว่าเป็นระดับราคาที่ถูกมาก และเป็นระดับที่ดีกว่า SET 50 ซึ่งทางบริษัทได้ประมาณการณ์ผลตอบแทนของกองทุนดังกล่าวที่ 4% ต่อปี และจะพยายามจ่ายปันผลทุกไตรมาสเมื่อมีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง และไม่สามารถประมาณได้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรอาศัยจังหวะการทยอยซื้อ

โดยหลังจากการเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกในระหว่างวันที่ 21 - 28 กรกฎาคม กองทุนจะทำการซื้อหุ้นลงทุนในช่วงเย็นของวันที่ 28 กรกฎาคม ดังนั้นมูลค่าหน่วยลงทุนจะคำนวณจากการนำดัชนีหลักทรัพย์หมวดพลังงานและสาธารณูปโภคของวันที่ 28 กรกฎาคม หารด้วย 4,000 ซึ่งจะเป็นระดับราคาที่เท่าใดคงจะต้องขึ้นอยู่กับสภาพวะตลาดในขณะนั้นด้วย อย่างไรก็ตามบริษัทจะมีการนำกองทุน Mtrack Energy ETF เข้าจดทะเบียนทำการซื้อขายอีกครั้งในตลท.ในวันที่ 7 สิงหาคม 2551

ทั้งนี้ ข้อดีของกองทุน Mtrack Energy ETF คือ เป็นทางเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนมากกว่าการเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเฉพาะ รวมไปถึงยังสามารถทำการซื้อขายหน่วยลงทุนได้ตลอดทั้งวันและทราบราคาซื้อขายได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันการลงทุนผ่านกองทุนยังมีระดับราคาที่ต่ำกว่าการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ หลักทรัพย์ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ที่มีระดับราคาที่สูงกว่ามาก และค่าธรรมเนียมในการซื้อขายยังต่ำกว่าค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยปกติอีกด้วย

"อย่างไรก็ตาม การลงทุนผ่านกองทุนดังกล่าวก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน เนื่องมาจาก 80% เป็นการลงทุนในหุ้นของกลุ่มบริษัทปตท. และเป็นการเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะ ไม่ใช่การกระจายการลงทุนในตลาดรวมทั้งหมด" นางโชติกา กล่าว

นางโชติกา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้บริษัทจะมีการจัดโรดโชว์เพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนเกี่ยวกับ กองทุน Mtrack Energy ETF อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะไปจัดงานใน 4 จังหวัดใหญ่ทั่วประเทศ ประกอบด้วย เชียงใหม่ อุดรธานี นครราชสีมา และหาดใหญ่ โดยบริษัทคาดการณ์ว่ากองทุนดังกล่าวน่าจะสามารถระดมทุนในช่วงไอพีโอได้ไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท

**น้ำมันแพงดันยอดขายและกำไรปตท. พุ่ง**
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้บริษัทพลังงานมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นทั้งยอดขายและกำไรเช่นเดียวกับปตท. เนื่องจากปตท.มีความหลากหลายของธุรกิจทั้งการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจน้ำมัน และการกลั่น ซึ่งบางธุรกิจได้รับอนานิสงส์จากน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และบางธุรกิจขึ้นอยู่กับมาร์จินแม้ว่า ปตท.จะมีกำไรที่เติบโตขึ้น แต่บริษัทฯก็ได้เข้าไปอุดหนุนด้านราคาแอลพีจี เอ็นจีวี และราคาขายปลีกน้ำมันที่ปรับขึ้นช้ากว่าผู้ค้าน้ำมันรายอื่นๆ เป็นวงเงินปีละประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยแอลพีจีที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซฯและโรงกลั่นปีละ 3 ล้านตันก็ขายในราคา 330 เหรียญสหรัฐ/ตันต่ำกว่าราคาตลาดโลกที่สูงถึง 923 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทั้งๆที่โรงกลั่นต้องซื้อน้ำมันในราคากว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แล้วกลั่นได้แอลพีจีเพื่อมาขายในราคาเพียง 30 เหรียญสหรัฐ /บาร์เรล ซึ่งตรงนี้ปตท.ก็รับภาระไป

นอกจากนี้ ทางภาครัฐมอบหมายให้ปตท.นำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยภาครัฐจะจ่ายชดเชยส่วนต่างราคานำเข้ากับราคาขายคืนให้กับปตท.ทีหลัง

สำหรับปัญหาการเมืองขณะนี้ ไม่มีผลต่อการลงทุนของ ปตท. ยังเดินหน้าตามแผนลงทุนของเครือ ปตท.5 ปีข้างหน้า มูลค่า 8-9 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ท่อก๊าซธรรมชาติ การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อให้พลังงานในประเทศเพียงพอ และส่งเสริมพลังงานทางเลือก ทั้งนี้การลงทุนของปตท. ได้ดูระยะ 30 ปีข้างหน้าที่เชื่อว่า ในระยะกลางและยาว เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดี เพียงแต่ขณะนี้มีความผันผวนทางการเมือง ซึ่งเป็นปัญหาระยะสั้นเท่านั้น

คุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต กรรมการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงสูงระดับ 100 กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในอีก 2-3ปี ข้างหน้า เนื่องจากจะไม่มีพลังงานใดมาทดแทนน้ำมันในภาคขนส่งได้ใน 10-20 ปีข้างหน้า ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันของจีนและ อินเดียยังเพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนปริมาณการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นก็มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น พลังงานทดแทนก็ยังมีไม่มาก ทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันค่อนข้างตึงตัว ส่งผลให้ราคายังสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายประเทศหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกกว่าน้ำมันถึง 40% ทำให้มีการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่อยากเห็นคนไทยนำก๊าซแอลพีจีมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันในภาคการขนส่ง เนื่องจากแอลพีจีใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ ส่วนถ่านหินจะยังมีความสำคัญในเอเชียแปซิฟิก ทำให้มีการใช้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีทำให้โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินมีการปล่อยมลภาวะน้อยมาก

สำหรับธุรกิจการกลั่นน้ำมัน พบว่าจะมีโรงกลั่นใหม่เข้ามาในปีหน้า ทำให้ธุรกิจนี้แข่งขันรุนแรงในช่วง 2552-2554 หลังจากนั้นสถานการณ์จะค่อยๆดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากให้คนไทยเร่งศึกษาพลังงานนิวเคลียร์อย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นพลังงานที่มีต้นทุนต่ำ และหลายประเทศก็มีการใช้อย่างแพร่หลาย ดังนั้นจึงควรให้ปลูกฝัง ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับเยาวชน เพื่อไม่ให้รังเกียจพลังงานนิวเคลียร์

จากแนวโน้มราคาน้ำมันจะทรงตัวระดับสูง ดังนั้นภาครัฐไม่ควรอุดหนุนเพื่อให้ประชาชนใช้ราคาน้ำมันถูก เนื่องจาก 5ปีข้างหน้า (2552-2556 ) ความต้องการน้ำมันใหม่ยังสูงกว่ากำลังการผลิตใหม่ โดยมีดีมานด์เพิ่มขึ้น เฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน การพัฒนาพลังงานทางเลือก ก็ยังไม่พอต่อการใช้ ทำให้ราคาน้ำมันยังทรงตัวระดับสูง
กำลังโหลดความคิดเห็น