xs
xsm
sm
md
lg

ทิสโก้ปิดจองทริกเกอร์2กว่า700ล้าน แนะจับจังหวะลงคอมมอดิตี้ทำกำไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ทิสโก้เป็นปลื้ม "ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% # 2" ได้รับความสนใจสูง ยอดขายจากตัวแทนดันปิดไอพีโอได้กว่า 719 ล้านบาท ชี้เหตุนักลงทุนเชื่อมั่นศักยภาพของกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก-นโยบายกองทุนเจ๋ง พร้อมแนะจับจังหวะภาวะขาดแคลนอาหารและน้ำมันแพง โดยเฉพาะการลงทุนในสินค้าเกษตร ที่สร้างโอกาสหาผลตอบแทนสวย

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้มีการเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% # 2 ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนผ่านกองทุนหุ้นกลุ่มประเทศในเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่น เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan ปรากฎว่ามีนักลงทุนให้ความสนใจและสามารถระดมทุนได้กว่า 719 ล้านบาท โดยยอดขายส่วนใหญ่มาจากตัวแทนสนับสนุนการขาย (Selling Agents) ซึ่งได้แก่ สาขาของธนาคารที่เป็นตัวแทนสนับสนุนการขาย หรือบริษัทหลักทรัพย์พันธมิตรและธนาคารทิสโก้

"แสดงให้เห็นว่าตัวแทนขายส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกต่อการฟื้นตัวของเอเชีย เนื่องจากในช่วงนี้ดัชนี MSCI AC Asia-Pacific ex Japan มีการปรับตัวลดลงมามากพอสมควร ทำให้เป็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้หากดัชนีดีดกลับขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากนี้ลูกค้าเองก็เชื่อมั่นในศักยภาพของกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกว่ามีโอกาสฟื้นตัวและเติบโตต่อไปได้อีก และชอบเงื่อนไขของกองทุนที่จะขายทำกำไรอัตโนมัติเมื่อได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย 15% ภายใน 1 ปี" นายธีรนาถ กล่าว

อย่างไรก็ตามปัจจุบันจากภาวะความต้องการบริโภคอาหารทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินค้าเกษตรเพื่อใช้ผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันซึ่งมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงเชื่อว่าช่วงนี้การลงทุนในสินค้าเกษตรจะมีโอกาสทำกำไรสูงเช่นเดียวกัน เนื่องจากปัจจุบันราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกเริ่มฟื้นตัว จากความกังวลเรื่องภาวะการขาดแคลนอาหาร รวมถึงภาวะราคาน้ำมันแพง ทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ บลจ. ทิสโก้ ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนอ้างอิงกับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร โดยบริษัทได้มีการจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน DB Platinum Agriculture Euro ซึ่งจดทะเบียนและจัดตั้งในประเทศลักเซมเบิร์ก บริหารและจัดการโดย DB Platinum Advisors เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนอ้างอิงกับผลตอบแทนของดัชนี db Agriculture Euro Index ซึ่งเป็นดัชนีที่มีผลตอบแทนสูง และมีความผันผวนต่ำ โดยอิงราคาสินค้าเกษตร 7 ชนิด ที่มีปริมาณการบริโภคในตลาดโลกสูงสุด ได้แก่ ข้าวสาลี, ข้าวโพด, อ้อย, ฝ้าย, เมล็ดกาแฟ, ถั่วเหลือง และโกโก้ นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มสินค้าเกษตรที่สามารถนำไปใช้ผลิตพลังงานทดแทนได้อีกด้วย

"จุดเด่นที่สำคัญของกองทุนที่มีความแตกต่างจากกองทุนอื่นๆ ในตลาด คือ กองทุนหลัก ซึ่งได้แก่ DB Platinum Agriculture Euro Fund ใช้เงินสกุลยูโรในการซื้อขาย แทนที่จะใช้สกุลเงินอื่น เช่น ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา เนื่องจากเรามองว่าทิศทางการฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกายังมีความไม่แน่นอน ซึ่งหากพิจารณาจากทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงินที่ยังประสบปัญหาอยู่ จึงทำให้มองว่าอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกสักระยะหนึ่ง ในขณะที่กลุ่มสหภาพยุโรปเอง มีความชัดเจนกว่า รวมถึงที่ผ่านมาก็ถูกผลกระทบจากภาวะซับไพร์มไม่มากเท่าสหรัฐอเมริกา" นายธีรนาถ กล่าว

นอกจากนี้ภาวะความผันผวนของค่าเงินดอลล่าร์เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่บริษัทมองว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และเป็นที่กังวลของทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ธนาคารกลางในหลายประเทศต้องปรับลดสัดส่วนการถือครองเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาลง และเพิ่มสัดส่วนเงินสกุลหลักอื่นๆแทน โดยเงินสกุลยูโรก็เป็นหนึ่งในเงินตราสกุลหลักที่มีเสถียรภาพสูง ดังนั้นกองทุนนี้จึงถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร รวมถึงผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนที่อิงกับสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

"เวลานี้จึงเป็นจังหวะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างความความหลากหลายแก่พอร์ตการลงทุน และลดความเสี่ยง ด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่ราคาไม่ผูกพันหุ้นหรือพันธบัตร ซึ่งสินค้าโภคภัณฑ์ก็เป็นอีกหนึ่งในสินทรัพย์ที่กำลังได้รับความนิยมและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในอนาคต" นายธีรนาถ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น