ทิสโก้พอใจยอด เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจ แปน ทริกเกอร์ 15% ปิดไอพีโอระดมทุนได้ประมาณ 500 ล้านบาท มั่นใจสามารถสร้างผลตอบแทน 15% ได้ก่อนหมดอายุโครงการ 1 ปี เหตุตลาดหุ้นเอเชียมีศักยภาพที่ดี แม้จะปรับลดลงเล็กน้อยในช่วงที่ผ่านมา พร้อมเล็งออกกองพันธบัตรต่างประเทศเสริมทัพอีก เนื่องจากเหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ หัวหน้าการตลาดธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดขายกองทุนเปิดทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% ระหว่างวันที่ 6-14 มีนาคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยมียอดการลงทุนผ่านกองทุนนี้ประมาณ 4-5 ร้อยล้านบาท แต่เป็นยอดที่คาดการณ์เท่านั้น โดยยังมียอดการลงทุนบางส่วนที่ยังทยอยเข้ามา และยังรวบรวมไม่เสร็จเรียบร้อย
ทั้งนี้ เชื่อว่าการลงทุนผ่านกองทุนนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ลูกค้าได้ตามเงื่อนไขของกองทุนคือ เมื่อได้ผลตอบแทนในระดับ 15% แล้วจะมีกายกเลิกกองทุน และเชื่อว่าตัวเลขผลตอบแทนน่าจะทำได้ และอาจใช้เวลาไม่ถึง 1 ปีตามอายุโครงการ เนื่องจากสถานการณ์ของตลาดหุ้นเอเชียในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลงมาพอสมควร แต่การที่เศรษฐกิจของประเทศในแถบนี้มีพื้นฐานที่ดี ทำให้การปรับตัวของตลาดหุ้นเป็นไปได้ตามที่คาดการณ์
"ตามวิวของเราที่มองไว้สำหรับการลงทุนในกองนี้ น่าจะได้ผลตอบแทนตามเงื่อนไขที่ 15% โดยอาจไม่ต้องใช่เวลาถึง 1 ปีก็ได้ เนื่องจากตลาดหุ้นเอเชียในช่วงที่ผ่านมามันดาวน์เรตลงมาเยอะ แต่ด้วยพื้นฐานที่ดี และการที่ประเทศเหล่านี้มีการปรับตัวของเศรษฐกิจที่ดีมาตลอดจะทำให้ผลตอบแทนที่ได้เป็นไปตามคาดการณ์"นางธีรินทร์กล่าว
สำหรับกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% จะมีอายุประมาณ 1 ปี และมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท โดยกองทุนนี้จะเลิกดำเนินการและคืนเงินให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเมื่อสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 15% ภายในระยะเวลา 1 ปี หรือกองทุนสามารถเลิกกองทุนได้ทันทีไม่ต้องรอครบ 1 ปี หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ร้อยละ 15 ของมูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วย (10.00 บาท) เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน
โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศได้แก่กองทุน Lyxor ETF MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan ในสัดส่วนการลงทุนไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง และมีนโยบายการลงทุนในหุ้นของกลุ่มประเทศในเอเชียแปซิฟิกยกเว้นประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า กลยุทธ์การออกกองทุนหลังจากนี้เราจะมีการพิจารณาสินค้าใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุน แต่ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนภายในประเทศค่อนข้างต่ำในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเน้นการออกองทุนพันธบัตรต่างประเทศที่มีผลตอบแทนสูง และมีอันดับความน่าเชื่อถือดีกว่าของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาอย่างกองทุนพันธบัตรออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
"จะเห็นว่าที่ผ่านมาเราจะเน้นออกกองทุนพันธบัตรในต่างประเทศ ทั้งออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในช่วงที่ผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศค่อนข้างต่ำ และคงจะออกกองประเภทนี้มาอีกเรื่อยๆ เพื่อนำมาทดแทนกองโลว์โอเวอร์ที่ทยอยครบกำหนดในปีนี้ด้วย ส่วนการทีเลือกพันธบัตรใน 2 ประเทศนี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ และมีการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างมั่นคง ถึงแม้จะไม่หวือหวาก็ตาม"นางธีรินทร์กล่าว
ส่วนการขนาดของกองทุนพันธบัตรต่างประเทศที่บริษัทจะออกหลังจากนี้ คงจะไม่มีการขยายขนาดของกองทุน แม้ทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)จะอนุมัติขยายวงเงินให้มากกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐก็ตาม เนื่องจากมองว่าเม็ดเงินของนักลงทุนจะทยอยเข้ากองทุนมากกว่าที่จะลงมาในลักษณะเต็มที่ในครั้งเดียว ทำให้การทยอยเปิดขายสามารถทำยอดเงินระดมทุนได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ และอยากลงทุนในกองทุนภายในประเทศที่ไม่ต้องเผชิญกับความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ทางบริษัทอยากจะขอแนะนำให้ลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เกต เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงๆ และความเสี่ยงที่ต่ำ เนื่องจากกองทุนมันนี่มาร์เก็ตของบริษัทจะมีลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก โดยไม่มีการลงทุนในตั๋วแลกเงินของบริษัทเอกชน(บีอี) เลย ซึ่งที่แม้ที่ผ่านมาจะมีผลตอบแทนประมาณ 2 กว่าๆ แต่เมื่อเทียบกับเงินฝากแล้วยังสูงกว่า ในความเสี่ยงระดับเดียวกัน
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ หัวหน้าการตลาดธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดขายกองทุนเปิดทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% ระหว่างวันที่ 6-14 มีนาคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยมียอดการลงทุนผ่านกองทุนนี้ประมาณ 4-5 ร้อยล้านบาท แต่เป็นยอดที่คาดการณ์เท่านั้น โดยยังมียอดการลงทุนบางส่วนที่ยังทยอยเข้ามา และยังรวบรวมไม่เสร็จเรียบร้อย
ทั้งนี้ เชื่อว่าการลงทุนผ่านกองทุนนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ลูกค้าได้ตามเงื่อนไขของกองทุนคือ เมื่อได้ผลตอบแทนในระดับ 15% แล้วจะมีกายกเลิกกองทุน และเชื่อว่าตัวเลขผลตอบแทนน่าจะทำได้ และอาจใช้เวลาไม่ถึง 1 ปีตามอายุโครงการ เนื่องจากสถานการณ์ของตลาดหุ้นเอเชียในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลงมาพอสมควร แต่การที่เศรษฐกิจของประเทศในแถบนี้มีพื้นฐานที่ดี ทำให้การปรับตัวของตลาดหุ้นเป็นไปได้ตามที่คาดการณ์
"ตามวิวของเราที่มองไว้สำหรับการลงทุนในกองนี้ น่าจะได้ผลตอบแทนตามเงื่อนไขที่ 15% โดยอาจไม่ต้องใช่เวลาถึง 1 ปีก็ได้ เนื่องจากตลาดหุ้นเอเชียในช่วงที่ผ่านมามันดาวน์เรตลงมาเยอะ แต่ด้วยพื้นฐานที่ดี และการที่ประเทศเหล่านี้มีการปรับตัวของเศรษฐกิจที่ดีมาตลอดจะทำให้ผลตอบแทนที่ได้เป็นไปตามคาดการณ์"นางธีรินทร์กล่าว
สำหรับกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% จะมีอายุประมาณ 1 ปี และมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท โดยกองทุนนี้จะเลิกดำเนินการและคืนเงินให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเมื่อสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 15% ภายในระยะเวลา 1 ปี หรือกองทุนสามารถเลิกกองทุนได้ทันทีไม่ต้องรอครบ 1 ปี หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ร้อยละ 15 ของมูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วย (10.00 บาท) เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน
โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศได้แก่กองทุน Lyxor ETF MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan ในสัดส่วนการลงทุนไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง และมีนโยบายการลงทุนในหุ้นของกลุ่มประเทศในเอเชียแปซิฟิกยกเว้นประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า กลยุทธ์การออกกองทุนหลังจากนี้เราจะมีการพิจารณาสินค้าใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุน แต่ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนภายในประเทศค่อนข้างต่ำในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเน้นการออกองทุนพันธบัตรต่างประเทศที่มีผลตอบแทนสูง และมีอันดับความน่าเชื่อถือดีกว่าของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาอย่างกองทุนพันธบัตรออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
"จะเห็นว่าที่ผ่านมาเราจะเน้นออกกองทุนพันธบัตรในต่างประเทศ ทั้งออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในช่วงที่ผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศค่อนข้างต่ำ และคงจะออกกองประเภทนี้มาอีกเรื่อยๆ เพื่อนำมาทดแทนกองโลว์โอเวอร์ที่ทยอยครบกำหนดในปีนี้ด้วย ส่วนการทีเลือกพันธบัตรใน 2 ประเทศนี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ และมีการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างมั่นคง ถึงแม้จะไม่หวือหวาก็ตาม"นางธีรินทร์กล่าว
ส่วนการขนาดของกองทุนพันธบัตรต่างประเทศที่บริษัทจะออกหลังจากนี้ คงจะไม่มีการขยายขนาดของกองทุน แม้ทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)จะอนุมัติขยายวงเงินให้มากกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐก็ตาม เนื่องจากมองว่าเม็ดเงินของนักลงทุนจะทยอยเข้ากองทุนมากกว่าที่จะลงมาในลักษณะเต็มที่ในครั้งเดียว ทำให้การทยอยเปิดขายสามารถทำยอดเงินระดมทุนได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ และอยากลงทุนในกองทุนภายในประเทศที่ไม่ต้องเผชิญกับความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ทางบริษัทอยากจะขอแนะนำให้ลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เกต เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงๆ และความเสี่ยงที่ต่ำ เนื่องจากกองทุนมันนี่มาร์เก็ตของบริษัทจะมีลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก โดยไม่มีการลงทุนในตั๋วแลกเงินของบริษัทเอกชน(บีอี) เลย ซึ่งที่แม้ที่ผ่านมาจะมีผลตอบแทนประมาณ 2 กว่าๆ แต่เมื่อเทียบกับเงินฝากแล้วยังสูงกว่า ในความเสี่ยงระดับเดียวกัน