บลจ.นครหลวงไทย โชว์ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี กองทุนหุ้น และกองทุนหุ้นอาร์เอ็มเอฟ โต 40 – 43% ขณะที่แอลทีเอฟโต 27.16% จากการคัดเลือกหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มาร์เก็ตแคปสูงเข้าพอร์ต พร้อมชี้แจงช่วงนี้ยิลด์ต่ำเป็นไปตามภาวะตลาดผันผวน แต่ยืนยันระยะยาวยังดี ล่าสุดคงน้ำหนักลงทุนในหุ้นเท่าเดิม เพื่อรอดูสถานการณ์ หลังปรับลดลงในช่วงก่อนหน้านี้
นายนที ดำรงกิจการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ฉ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวกลยุทธ์การลงทุนในหลักทรัพย์ของกองทุนตราสารทุน (หุ้น) ของบริษัทว่า หากดูผลตอบแทนย้อนหลังไปจนถึง 3 ปีจะพบว่าสามารถสร้างยิลด์ได้ในระดับที่สูง เนื่องจากบริษัทจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีมาร์เก็ตแคปสูง และมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น ปตท. และ ปตท.สผ. เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งบริษัทอาจมีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นในเครือปตท.ลงบ้าง ในบางช่วงระยะเวลาเพื่อเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยอาจไปเพิ่มน้ำหนักในหุ้นบมจ.บ้านปู หรือหุ้นตัวอื่นๆแทนในบางครั้ง
“เราเชื่อมั่นว่าจากผลดำเนินงานที่แสดงออกมานี้ จะช่วยประชาสัมพันธ์ศักยภาพในการบริหารจัดการกองทุนของบริษัทได้ ถึงแม้ว่าบริษัทจะเพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่นานมานี้ โดยเฉพาะกองทุนหุ้นนั้น นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนบริษัทได้ทำการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยแล้ว 3 ครั้ง หรือมีการปันผลทุกครั้งที่สามารถทำกำไรจากการบริหารพอร์ตได้เกิน 10%”นายนที กล่าว
นายนที กล่าวถึง กระแสความวิตกกังวลของผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนหุ้นในช่วงนี้ว่า จากภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ผ่านมาเกิดความผันผวนทั้งจากการขายหุ้นทิ้งของนักลงทุนต่างประเทศ และปัจจัยอื่นๆเข้ามากระทบ ย่อมสร้างความกังวลใจต่อผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยและผู้ที่ลงทุนหลักทรัพย์โดยตรงแน่ แต่สำหรับการลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นนั้น ขอย้ำว่า เป็นการเลือกทุนในระยะยาว ซึ่งปัจจัยทิ่กดดัน ณ ขณะนี้เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นที่ได้มีการประเมินไว้แล้ว
นอกจากนี้ หากผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนหุ้นย้อนกลับไปดูผลประกอบการย้อนหลังของกองทุนประเภทดังกล่าวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จะพบว่ากองทุนหุ้นของบริษัทจัดการกองลงทุนทุกแห่ง สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง ดังนั้นโดยรวมปีนี้ผลประกอบการกองทุนจะเติบโตใกล้เคียงกับที่ผ่านมา
“โดยทั่วไป จากข้อมูลย้อนหลังของกองทุนหุ้นจะพบว่าตั้งแต่ 1 ปีเป็นต้นไปทุกกองมีรีเทิร์นย้อนหลังอยู่ในระดับสูง และสถานการ์ณที่เกิดขึ้นขณะนี้ ในมุมมองของผู้จัดการกองทุนแล้วเป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้นเท่านั้น ดังนั้นผู้ลงทุนบางคนที่กังวลว่าหุ้นจะตกมาก จึงโยกการลงทุนมายังตราสารหนี้แทน นับว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนแต่ แต่เมื่อเวลาที่หุ้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นก็อาจจะเสียโอกาสได้รับผลตอบแทนดีจากการลงทุนในหุ้นเช่นกัน”
ส่วนสาเหตุที่ผลประกอบการย้อนหลัง 3 เดือนของกองทุนหุ้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ )และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ปรับตัวลดลง หรืออยู่ในระดับต่ำนั้น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย ให้ความเห็นว่า เรื่องนี้เป็นไปตามภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนจากปัจจัยต่างๆที่เข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ ปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาราคาน้ำมัน และปัจจัยลบอื่นๆจากต่างประเทศ
“ก่อนหน้านี้บริษัทได้ลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นลงบางส่วน เพื่อถือเงินสดไว้และรอดูสถานการณ์ต่างๆ เพื่อรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเข้าไปลงทุนอีกครั้ง หรืออาจเพิ่มการลงทุนในหุ้นบางตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และราคาได้ปรับตัวลดลงมามาก โดยปัจจุบันยังคงน้ำหนักลงทุนเท่าเดิมไม่ได้ปรับเพิ่มแต่อย่างใด”
ทั้งนี้ จากาการสำรวจผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนหุ้น บลจ.นครหลวงไทย ทั้ง 3 กองทุน ณ วันที่ 30 พ.ค. 2551 พบว่า กองทุนแมกซ์หุ้นทุน มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีที่ 40.84% ขณะที่ย้อนหลัง 1 ปีมีผลตอบแทน 23.25% ย้อนหลัง 6 เดือนมีผลตอบแทน 2.10% ส่วนย้อนหลัง 3 เดือนมีผลตอบแทน 1.50%
ขณะที่กองทุนกองทุนแมกซ์หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือกองทุนอาร์เอ็มเอฟ ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี 43.51% ส่วนย้อนหลัง 1 ปี มีผลตอบแทน 23.61% ย้อนหลัง 6 เดือนมีผลตอบแทน 2.33% และย้อนหลัง 3 เดือนมีผลตอบแทน 1.62% สุดท้ายกองทุนรวมแมกซ์ปันผล หุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีที่ 27.16% ย้อนหลัง 1 ปีมีผลตอบแทน 9.15% ย้อนหลัง 6 เดือนมีผลตอบแทน 1.52% และย้อนหลัง 3 เดือนมีผลตอบแทน 1.75%
นายนที ดำรงกิจการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ฉ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวกลยุทธ์การลงทุนในหลักทรัพย์ของกองทุนตราสารทุน (หุ้น) ของบริษัทว่า หากดูผลตอบแทนย้อนหลังไปจนถึง 3 ปีจะพบว่าสามารถสร้างยิลด์ได้ในระดับที่สูง เนื่องจากบริษัทจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีมาร์เก็ตแคปสูง และมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น ปตท. และ ปตท.สผ. เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งบริษัทอาจมีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นในเครือปตท.ลงบ้าง ในบางช่วงระยะเวลาเพื่อเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยอาจไปเพิ่มน้ำหนักในหุ้นบมจ.บ้านปู หรือหุ้นตัวอื่นๆแทนในบางครั้ง
“เราเชื่อมั่นว่าจากผลดำเนินงานที่แสดงออกมานี้ จะช่วยประชาสัมพันธ์ศักยภาพในการบริหารจัดการกองทุนของบริษัทได้ ถึงแม้ว่าบริษัทจะเพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่นานมานี้ โดยเฉพาะกองทุนหุ้นนั้น นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนบริษัทได้ทำการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยแล้ว 3 ครั้ง หรือมีการปันผลทุกครั้งที่สามารถทำกำไรจากการบริหารพอร์ตได้เกิน 10%”นายนที กล่าว
นายนที กล่าวถึง กระแสความวิตกกังวลของผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนหุ้นในช่วงนี้ว่า จากภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ผ่านมาเกิดความผันผวนทั้งจากการขายหุ้นทิ้งของนักลงทุนต่างประเทศ และปัจจัยอื่นๆเข้ามากระทบ ย่อมสร้างความกังวลใจต่อผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยและผู้ที่ลงทุนหลักทรัพย์โดยตรงแน่ แต่สำหรับการลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นนั้น ขอย้ำว่า เป็นการเลือกทุนในระยะยาว ซึ่งปัจจัยทิ่กดดัน ณ ขณะนี้เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นที่ได้มีการประเมินไว้แล้ว
นอกจากนี้ หากผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนหุ้นย้อนกลับไปดูผลประกอบการย้อนหลังของกองทุนประเภทดังกล่าวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จะพบว่ากองทุนหุ้นของบริษัทจัดการกองลงทุนทุกแห่ง สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง ดังนั้นโดยรวมปีนี้ผลประกอบการกองทุนจะเติบโตใกล้เคียงกับที่ผ่านมา
“โดยทั่วไป จากข้อมูลย้อนหลังของกองทุนหุ้นจะพบว่าตั้งแต่ 1 ปีเป็นต้นไปทุกกองมีรีเทิร์นย้อนหลังอยู่ในระดับสูง และสถานการ์ณที่เกิดขึ้นขณะนี้ ในมุมมองของผู้จัดการกองทุนแล้วเป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้นเท่านั้น ดังนั้นผู้ลงทุนบางคนที่กังวลว่าหุ้นจะตกมาก จึงโยกการลงทุนมายังตราสารหนี้แทน นับว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนแต่ แต่เมื่อเวลาที่หุ้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นก็อาจจะเสียโอกาสได้รับผลตอบแทนดีจากการลงทุนในหุ้นเช่นกัน”
ส่วนสาเหตุที่ผลประกอบการย้อนหลัง 3 เดือนของกองทุนหุ้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ )และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ปรับตัวลดลง หรืออยู่ในระดับต่ำนั้น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย ให้ความเห็นว่า เรื่องนี้เป็นไปตามภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนจากปัจจัยต่างๆที่เข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ ปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาราคาน้ำมัน และปัจจัยลบอื่นๆจากต่างประเทศ
“ก่อนหน้านี้บริษัทได้ลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นลงบางส่วน เพื่อถือเงินสดไว้และรอดูสถานการณ์ต่างๆ เพื่อรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเข้าไปลงทุนอีกครั้ง หรืออาจเพิ่มการลงทุนในหุ้นบางตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และราคาได้ปรับตัวลดลงมามาก โดยปัจจุบันยังคงน้ำหนักลงทุนเท่าเดิมไม่ได้ปรับเพิ่มแต่อย่างใด”
ทั้งนี้ จากาการสำรวจผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนหุ้น บลจ.นครหลวงไทย ทั้ง 3 กองทุน ณ วันที่ 30 พ.ค. 2551 พบว่า กองทุนแมกซ์หุ้นทุน มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีที่ 40.84% ขณะที่ย้อนหลัง 1 ปีมีผลตอบแทน 23.25% ย้อนหลัง 6 เดือนมีผลตอบแทน 2.10% ส่วนย้อนหลัง 3 เดือนมีผลตอบแทน 1.50%
ขณะที่กองทุนกองทุนแมกซ์หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือกองทุนอาร์เอ็มเอฟ ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี 43.51% ส่วนย้อนหลัง 1 ปี มีผลตอบแทน 23.61% ย้อนหลัง 6 เดือนมีผลตอบแทน 2.33% และย้อนหลัง 3 เดือนมีผลตอบแทน 1.62% สุดท้ายกองทุนรวมแมกซ์ปันผล หุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีที่ 27.16% ย้อนหลัง 1 ปีมีผลตอบแทน 9.15% ย้อนหลัง 6 เดือนมีผลตอบแทน 1.52% และย้อนหลัง 3 เดือนมีผลตอบแทน 1.75%