หงุดหงิดเหลือเกินกับนิสัย นอนไม่หลับ โดยเฉพาะเวลาเดินทางด้วยพาหนะที่เรียกว่า “เครื่องบิน” ซึ่งผมไม่ค่อยมีโอกาสได้เดินทางบ่อยมากนัก แต่ก็พอจะได้สัมผัสกับโลกภายนอกบ้างอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้
จุดหมายปลายทางในทริปนี้ คือ มหานครปักกิ่ง ซึ่งการเดินทางจากประเทศไทยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แต่เบ็ดเสร็จแล้วน่าจะประมาณ เกือบ 6 ชั่วโมงในการผ่านขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่ถูกเรียกขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิตอน 11.50 น. และมาถึงเทอร์มินอล 3 ของสนามบินปักกิ่งในเวลา 6.00 น.(เวลาท้องถิ่นของประเทศจีนจะช้ากว่าเรา 1 ชั่วโมง)
ความจริงอยากพูดถึงสนามบินปักกิ่งมากกว่านี้ แต่เกรงว่าเนื้อที่จะไม่เพียงพอ บอกคร่าวๆ ได้ว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่ติดอันดับโลก (ห้องน้ำดีกว่าสนามบินสุวรรณภูมิแยะ) โดยทางการจีนได้สร้าง และขยายอาคารผู้โดยสารใหม่ เพื่อรองรับมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 8 เดือน 8 ปี 2008 เวลา 8 โมง 8 นาที (คนจีนถือเอาเลข 8 เป็นเลขมงคล ส่วนเลข 9 สมัยก่อนจะเป็นเลขประจำขององค์ฮ่องเต้เท่านั้น)
ก้าวแรกที่เหยียบ”มหานครปักกิ่ง”ต้องบอกเลยว่าประทับใจ เนื่องจากอากาศเย็นกำลังดี และมีหมอกปลกคลุม แต่ฉไหนเลย นั่นแหละคือความเข้าใจผิดอย่างมหัน เมื่อทราบจากผู้คุ้นเคยกับมหานครแห่งนี้ว่า ความจริงแล้วหมอกที่เห็น เป็นมลพิษทางอากาศ ซึ่งเกิดจากการใช้ถ่านหินในการผลิตกระแสไฟฟ้า
เป็นนัยว่า เมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อติดอันดับในหลายเรื่องทั้ง สนามบิน และมลพิษทางอากาศ (เหมือนมีหมอกลงทั้งตลอดวัน)
“ปักกิ่ง”นับเป็นมหานครใหญ่ 1 ใน 4 ของประเทศจีน ซึ่งประกอบด้วย เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนสิน และฉงชิ่ง มีเรื่องเล่าอยู่ 2 เรื่องที่น่าจะโยงถึงความเป็นอยู่ของประชากรตามเมืองใหญ่ และสภาพเศรษฐกิจของประเทศจีนได้
เริ่มจากการใช้ชีวิตของคนเมืองปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ ซึ่งต่างก็ยกตนข่มท่านว่ามีส่วนดีมากกว่า? จนมีคำพูดเยาะหยันกันว่า “คนปักกิ่งเป็นพวกหัวโบราณ”ส่วน”คนเซี่ยงไฮ้เป็นพวกกินเหมือนหมูอยู่เหมือนสุนัข”
กล่าวคือ การใช้ชีวิตของคนปักกิ่งจะแตกต่างจากเซี่ยงไฮ้ ในเรื่องของแฟชั่น การกินอยู่ ต่างๆ ที่ค่อนข้างจะอนุลักษณ์มากกว่า ขณะที่ชาวเซี่ยงไฮ้มีชื่อในเรื่องการแต่งกาย หรือแฟชั่นเป็นอย่างมาก ถึงขนาดยอมกินอะไรก็ได้ แต่รูปลักษณ์ภายนอกต้องดูดีไว้ก่อน
หันมาดูเรื่องเศรษฐกิจกันบ้าง มีคนบอกว่าเมื่อมาเยือนปักกิ่งแล้วพบปรากฏการณ์ 5 อย่างจะทำให้ผม”โชคดี”??? และสิ่งที่ว่าก็ประกอบไปด้วย สุนัข ฝนตก คนท้อง ปั๊มน้ำมัน และจักรยานยนต์ แต่หากเจอพร้อมกันหมดไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่า เช่น คนท้องอุ้มสุนัขขี้จักรยานยนต์เข้าไปหลบฝนในปั๊มน้ำมัน
ที่ว่าได้เห็นแล้วโชคดีอย่างเช่น สุนัข มิใช่ว่าเป็นเพราะคนจีนนิยมบริโภคแต่อย่างใด หากเป็นเพราะการเก็บภาษีที่แพงเขาขั้นว่า ไม่มีเงินห้ามเลี้ยง หรือเรื่องของปั๊มน้ำมัน เหตุเพราะคนจีนส่วนใหญ่นิยมใช้จักรยานเป็นพาหนะเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ไม่ค่อยเห็นก็เป็นได้
ส่วนคนท้อง เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลจีนมีการจำกัดจำนวนประชากร ซึ่งแต่ละบ้านจะมีลูกได้ไม่เกิน 1 คน และที่ผ่านมาหากใครมีลูกมากกว่านั้นมักจะนิยมเดินทางไปคลอดที่เกาะฮ่องกงแทน (ไม่ทราบว่านโยบายขณะนี้เปลี่ยนไปหรือยัง)
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมมีโอกาสได้พบเห็น สื่อของความโชคดีครบถ้วนทั้ง 5 ประการทีเดียวในทริปนี้ แต่เมื่อลองใช้ รอยหยักที่เหลือในสมองซึ่งถูกทำลายไปจำนวนมากแล้ว กลับมีมุมมองแตกต่างออกไปว่า แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะพบเห็นเรื่องเหล่านี้ในปัจจุบัน
เพราะอะไรนะเหรอ?... ผมมองว่าสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศจีนขณะนี้เปลี่ยนไปแล้ว ตัวอย่างเช่น สุนัข ซึ่งจะต้องเสียภาษีกันเยอะสำหรับค่าเลี้ยงดูพวกมัน ต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้ประชากรชาวจีนมีรายได้ต่อหัวสูงขึ้น เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง และผมเองก็เห็นตามนั้น แถมวันที่เห็นคนจูงสุนัขเดินเล่น ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเดียวเสียด้วย แต่กลับมีหลายคนจนพบเห็นได้ทั่วไปเลยทีเดียว
ส่วนที่เหลือคงพอเดาได้ว่า คนจีนหันมาใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน กับเรื่องของปั๊มน้ำมัน โดยสิ่งที่เกี่ยวเนื่องอีกอย่างหากไม่พูดถึงจะสร้างความสงสัยกับผู้อ่านก็คือ ฝนตก?
ภูมิประเทศของ มหานครปักกิ่ง จากสถิติแล้วมีปริมาณน้ำฝนน้อยมาก เท่ากับว่า ปีหนึ่งฝนจะตกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น และน้ำที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นน้ำจากใต้ดินทั้งสิ้น ผมว่าความแปรปรวนที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากปัญหาโลกร้อน และจีนเองเป็นส่วนหนึ่งสร้างมลพิษให้กับเรื่องนี้จากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
เท่ากับว่าเศรษฐกิจที่ขยายตัวพร้อมกับมลพิษที่เกิดขึ้นเป็นตัวการหนึ่ง ที่ทำให้เรื่องซึ่งพบได้อยากในอดีตมาสู่ความดาดเดื่อน เกลื่อนกราด ในปัจจุบัน
เรื่องนี้กว่าจะคิดได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนของวันสุดท้าย ซึ่งต้องขอบคุณ ผู้ร่วมชะตากรรมยามค่ำคืน ที่ตะโกนบอกกับผมว่า “เรามาทำอะไรดึกๆ ในประเทศสังคมนิยมแบบนี้” ทำให้ผมชุกคิดได้ว่าความจริงแล้วประเทศสังคมนิยมนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วต่างหาก
ลองไปเดินมืดๆ ไม่คุ้นทางในบ้านเราดูอาจจะ โดนวิ่งราว หรือแม้แต่ไปเที่ยวยังกลัว เหยีบ(ปาก)เท้า ลูกอกตัญญูความจำเสื่อม ที่ชอบถามว่า “รู้ไหมพ่อกูเป็นใคร” จนเป็นเหตุให้ อาจถูก”ไอ้ปื๊ด”ทำปืนลั่นใส่ถึงตายก็เป็นได้
สุดท้ายเวลา 3 วันในกรุงปักกิ่งผมได้อะไรมาพอสมควร ส่วนขากลับต้องบอกว่าสบายทีเดียว เนื่องจากเครื่องที่ผมบินกลับมีผู้โดยสารน้อยมาก เนื่องจากรัฐบาลจีนสั่งห้ามคนของเขาออกนอกประเทศในช่วงโอลิมปิก เพราะต้องการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ มากขึ้นนั่นเอง(บังคับกันได้)
“จะเป็นแมวหรือเสือก็ได้ หากแต่สามารถจับหนูเป็นอาหารได้ก็เพียงพอแล้ว”