xs
xsm
sm
md
lg

AYFออก2กองทุนบอนด์รูปแบบใหม่ ลุยพันธบัตรเกาหลี40%ที่เหลือECP

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.เอวายเอฟ ปรับกลยุทธ์ลงทุนตราสารหนี้ ด้วยการออกกองทุนใหม่ "อยุธยาตราสารหนี้พลัส 3M3" เเละ "อยุธยาตราสารหนี้พลัส 6M4" อายุ 3 เดือนเเละ 6เดือน โดยใช้กลยุทธ์ลดสัดส่วนลงทุนพันธบัตรเกาหลีเหลือ40% เเละเน้นลงทุนใน ECP เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างผลตอบเเทนที่ดี พร้อมกับชูผลตอบเเทนไม่น้อยกว่า 3.10% เเละ 3.50% ต่อปี เตรียมเปิดขายไอพีโอ พร้อมกันในวันที่ 23 ถึง 30 มิถุนายน นี้ ขณะเดียวกันปรับเพิ่มยิลด์กองทุน "อยุธยาตราสารหนี้พลัส 6M3" จาก 3.30 % เป็น 3.40% ต่อปี
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือ เอวายเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้พลัส 3M3 (AYF3MPLS3) และกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้พลัส 6M4 (AYF6MPLS4) ซึ่งเป็นกองทุนอายุ 3 เดือน และ 6 เดือน โดยกองทุนดังกล่าว จะลงทุนใน ตราสารที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ (ECP)ได้แก่ Rabobank, Bank of Scotland, Calyon Bank และลดสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลี เหลือไม่เกิน 40% ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุน และคาดว่าทั้งสองกองทุนจะได้รับอัตราการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 3.10% และ 3.50% ต่อปี หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.50%
"บริษัทจะเสนอขายกองทุนทั้งสองในวันที่ 23 ถึง 30 มิถุนายน นี้ ซึ่งเรามองว่ากองทุนดังกล่าวน่าจะช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะในสภาพการ์ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนรองรับภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ"
ขณะเดียวกัน บลจ.เราจะปรับเพิ่มอัตรารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติของกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้พลัส 6M3 (AYF6MPLS3) ที่ปิดการเสนอขายหน่วยลงทุนไปเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็น 3.40% ต่อปี หลังหักค่าใช้จ่ายสุทธิ 0.67% จากเดิม 3.30 % ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่แจ้งในช่วง IPO และเป็นอัตราที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่ผู้ถือหน่วยจะได้รับในช่วงเวลานั้น
"โดยกองทุน AYF6MPLS3 เมื่อเรา ดำเนินการลงทุน ปรากฏว่าสภาพตลาดดี จึงส่งผลให้ตราสารที่ลงทุนมีผลตอบแทนสูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ เราจึงปรับเพิ่มอัตรารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเป็น 3.40% ต่อปี ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่น่าจะเป็นที่พึงพอใจอย่างมาก สำหรับผู้ถือหน่วย" ฉัตรพี กล่าว
ก่อนหน้านี้ นาย อาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บลจ. อยุธยา จำกัด กล่าวถึงสถานกาณ์ตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยว่า ในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ผลตอบเเทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นทุกช่วงอายุ ซึ่งการปรับตัวขึ้นของผลตอบเเทนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศเป็นอย่างมาก
โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ที่จะประชุมในวันที่ 21 กรกฏาคมนี้ ตามที่คาดการณ์กันไว้คือ กนง.น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่หลายฝ่ายกังวลว่าในเดือนมิถุนายน และอาจจะขึ้นไปถึง 9-10% เลยทีเดียว ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาเรื่องราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น บวกกับปัจจัยเรื่องการเมืองในประเทศที่ยังไม่มีทิศทางว่าจะเป็นอย่างไร พร้อมกับปัญหาเรื่องอื่นๆที่เข้ามาอีกไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเงินบาท หรือเรื่องราคาสินค้าเกษตร เป็นต้น
"เมื่อ กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเเล้ว การลงทุนในตราสารหนี้ก็จะปรับเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง โดยพันธบัตร ระยะสั้นเช่น3 เดือน เเละ 6 เดือนของรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ หรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ รวมถึงหุ้นกู้ภาคเอกชนที่เป็นบริษัทใหญ่ๆ เช่น บริษัทโตโยต้า หรือบริษัทปูนซีเมนต์ จะน่าลงทุนมากกว่าพันธบัตรระยะยาว" นาย อาสา กล่าว
สำหรับการปรับพอร์ตการลงทุนตราสารหนี้ในช่วงนี้ มองว่าควรเน้นลงทุนกองทุนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นที่เป็นกองทุนปิด หรือล็อกอายุการลงทุน เเละกำหนดผลตอบเเทนของการลงทุน รวมทั้งอาจเลือกลงทุนกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ที่ยังให้ผลตอบเเทนดีอยู่ หรือเลือกลงทุนในพันธบัตรที่ออกโดยสถาบันทางการเงินในทวีปยุโรป (ECP) พร้อมกับเสริมสภาพคล่องให้กับตนเองเช่นลงทุนในกองทุน Money Market เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น