บลจ. กรุงไทย โชว์ฝีมือบริหาร "กรุงไทยหุ้นทุนปันผล" ประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราละ 0.50 บาทต่อหน่วยลงทุนหลังฟันกำไรหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค-บริการ ผู้ถือหน่วยเฮรับพร้อมกันถ้วนหน้า 16 มิ.ย 51 นี้
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการจัดการลงทุน มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล(KTSF) ในอัตรา0.50 บาทต่อหน่วย จากผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อปรากฎอยู่ในทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนในวันที่ 12 มิถุนายน 2551 และจะทำการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 มิถุนายน 2551
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า กองทุน KTSF เป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และให้ผลตอบแทนที่ดี โดยบริษัทจะพิจารณาเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง มีกระแสเงินสดที่ดีสม่ำเสมอ มีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดี และราคาตลาดของหลักทรัพย์ต่ำเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ในช่วงนี้ถึงแม้ว่าภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก นับจากวันที่ 31 ธันวาคม 2550 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 858.10 จุด และในวันที่ 31 พฤษภาคม 2551 ดัชนีตลาด หลักทรัพย์อยู่ที่ 833.65 จุด ปรับตัวลดลงประมาณ -2.85% ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุนอยู่ที่ 1.24% ซึ่งสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจาก บริษัทมีความระมัดระวังอย่างมากในการบริหารกองทุน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ภาวะตลาดหลักทรัพย์มีความผันผวนสูง โดยบริษัทได้ใช้การวิเคราะห์เศรษฐกิจ และหลักทรัพย์ทั้งจากภายใน และภายนอกที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับใช้ระบบป้องกันความเสี่ยง เข้ามา ช่วยในการลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายการบริหารพอร์ตที่ค่อนข้าง Active เพื่อให้สอดคล้องกับความผันผวนของตลาด ในขณะเดียวกันก็มีการกระจายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการกระจายการลงทุนของกองทุนจะถูกควบคุมจากระบบการป้องกันความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้กองทุนได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างน้อย และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยในปีนี้นับว่าบริษัทได้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนไปแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1.05 บาทต่อหน่วย
สำหรับผลตอบแทนย้อนหลัง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2551 กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.69% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -1.43% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.12% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -1.51% ผลตอบแทนย้อนหลัง 9 เดือนอยู่ที่ 2.12% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -1.51% และผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 43.92% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน
ส่วนสถานการณ์ลงทุน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2551 กองทุนลงทุนในหุ้นสามัญ 86.04% ประกอบไปด้วย หมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร , หมวดธุรกิจการเงิน , หมวดบริการ , หมวดทรัพยากร , หมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง นอกจากนี้กองทุนยังเข้าไปลงทุนในเงินฝากธนาคารอีก 22.60% ด้วย
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจดทะเบียนกองทุนเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2543 ด้วยจำนวนเงินทุนของโครงการเริ่มแรก 5,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนเหมาะสำหรับเงินลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงในการลงทุนในระดับปานกลางถึงระดับสูง และยอมรับผลขาดทุนจากการลงทุนได้บางส่วน
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังจะได้รับเงินปันผลไม่เกินปีละ 12 ครั้ง โดยในการจ่ายแต่ละครั้งจะจ่ายจากผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานประจำงวดที่จะจ่าย ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือส่วนที่หนึ่งรายได้จากการลงทุนสุทธิ และส่วนที่สองกำไรสุทธิจากการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงในอัตราไม่เกิน 90% ของทั้งสองส่วนรวมกัน
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการจัดการลงทุน มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล(KTSF) ในอัตรา0.50 บาทต่อหน่วย จากผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อปรากฎอยู่ในทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนในวันที่ 12 มิถุนายน 2551 และจะทำการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 มิถุนายน 2551
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า กองทุน KTSF เป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และให้ผลตอบแทนที่ดี โดยบริษัทจะพิจารณาเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง มีกระแสเงินสดที่ดีสม่ำเสมอ มีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดี และราคาตลาดของหลักทรัพย์ต่ำเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ในช่วงนี้ถึงแม้ว่าภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก นับจากวันที่ 31 ธันวาคม 2550 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 858.10 จุด และในวันที่ 31 พฤษภาคม 2551 ดัชนีตลาด หลักทรัพย์อยู่ที่ 833.65 จุด ปรับตัวลดลงประมาณ -2.85% ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุนอยู่ที่ 1.24% ซึ่งสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจาก บริษัทมีความระมัดระวังอย่างมากในการบริหารกองทุน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ภาวะตลาดหลักทรัพย์มีความผันผวนสูง โดยบริษัทได้ใช้การวิเคราะห์เศรษฐกิจ และหลักทรัพย์ทั้งจากภายใน และภายนอกที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับใช้ระบบป้องกันความเสี่ยง เข้ามา ช่วยในการลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายการบริหารพอร์ตที่ค่อนข้าง Active เพื่อให้สอดคล้องกับความผันผวนของตลาด ในขณะเดียวกันก็มีการกระจายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการกระจายการลงทุนของกองทุนจะถูกควบคุมจากระบบการป้องกันความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้กองทุนได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างน้อย และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยในปีนี้นับว่าบริษัทได้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนไปแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1.05 บาทต่อหน่วย
สำหรับผลตอบแทนย้อนหลัง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2551 กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.69% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -1.43% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.12% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -1.51% ผลตอบแทนย้อนหลัง 9 เดือนอยู่ที่ 2.12% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -1.51% และผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 43.92% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน
ส่วนสถานการณ์ลงทุน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2551 กองทุนลงทุนในหุ้นสามัญ 86.04% ประกอบไปด้วย หมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร , หมวดธุรกิจการเงิน , หมวดบริการ , หมวดทรัพยากร , หมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง นอกจากนี้กองทุนยังเข้าไปลงทุนในเงินฝากธนาคารอีก 22.60% ด้วย
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจดทะเบียนกองทุนเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2543 ด้วยจำนวนเงินทุนของโครงการเริ่มแรก 5,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนเหมาะสำหรับเงินลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงในการลงทุนในระดับปานกลางถึงระดับสูง และยอมรับผลขาดทุนจากการลงทุนได้บางส่วน
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังจะได้รับเงินปันผลไม่เกินปีละ 12 ครั้ง โดยในการจ่ายแต่ละครั้งจะจ่ายจากผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานประจำงวดที่จะจ่าย ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือส่วนที่หนึ่งรายได้จากการลงทุนสุทธิ และส่วนที่สองกำไรสุทธิจากการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงในอัตราไม่เกิน 90% ของทั้งสองส่วนรวมกัน
