เสียงปราศรัยขับไล่รัฐบาลที่ดังกึกก้องไปทั่วสะพานมัฆวาน ในช่วงกว่า 10 วันที่ผ่านมานั้น เป็นเสียงที่ดังสะเทือนไปถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะปัจจัยนี้ เป็นส่วนหนึ่ง ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นสีแดงอยู่หลายวัน อาจจะเรียกได้ว่าเป็น "ลูกศรสีแดง" หัวทิ่มลงอย่างต่อเนื่อง
เป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาทางการเมืองนั้น ส่งผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง และเป็นเรื่องที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ต้องการอยากที่จะให้เกิดขึ้น แต่ถ้าหากดูแล้วจะเห็นว่า หุ้นในตลาดนั้นก็ไม่ได้รับผลกระทบไปซะทุกตัว แต่ขึ้นอยู่กับการปรับกลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนว่า ในสถานการณ์ดังกล่าวควรจะปรับกลยุทธ์การลงทุนของตนเองอย่างไร
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ ที่ผ่านมา ได้จัดสัมนาขึ้นที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในหัวข้อ "เลือกสไตน์การลงทุน จับกลยุทธ์ VS หุ้นคุณค่า" ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นเซียนในด้านการลงทุนมา ให้ความรู้และคำแนะนำในการลงทุน โดยเริ่มต้นการสัมนาด้วยการพูดถึงในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังได้รับความใจอยู่ในขณะนี้ คือการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรประชานเพื่อประชาธิปไตยที่สะพานมัฆวาน
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด แสดงความเป็นห่วงในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ว่า นักลงทุนจากต่างประเทศส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งจากทางกลุ่มประเทศตะวันตกและในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน ต่างพากันแสดงความกังวลในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองที่มียังไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติลง ซึ่งล้วนแล้วแต่พากันติดตามสถานการณ์รวมทั้งมีการวิเคราะห์สถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด ซึ่งนักลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่หลายปีและมีความเข้าใจในเรื่องของการเมืองของประเทศไทย เริ่มตั้งคำถามว่าสถานการณ์ทางการเมืองดังกล่าวว่าแท้ที่จริงแล้ว เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างรึป่าว เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย
เรื่องต่อมาที่ แสดงความเป็นห่วงคือ เรื่องของภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น เขาบอกว่า เงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นผลมาจากราคานํ้ามันที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงค่าเงินรวมถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน หากควบคุมเรื่องของเงินเฟ้อไม่ได้ จะส่งผลกระทบต่อเรื่องของการลงทุนและการบริโภค และเรื่องสุดท้ายที่แสดงความเป็นห่วงคือเรื่องของ ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุล ซึ่งหากมีการประท้วงยังยืดเยื้อต่อไป จะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศขาดดุลลงไปมากขึ้น
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวในทำนองเดียวกันว่า สถานกาณ์ทางการเมืองในขณะนี้ถือเป็นปัจจัยแรกที่ บลจ. อยุธยาให้ความสำคัญมาก ในการพิจารณาการลงทุน โดยสถานณ์การทางการเมืองในช่วงที่มีการปฏิวัติ ยึดอำนาจ เมื่อครั้งที่ผ่านมา ส่งผลต่อการลงทุนในระดับที่มากพอแล้ว ซึ่งหากครั้งนี้มีการปฏิวัติเกิดขึ้นมาอีก อาจจะเป็นถึงขั้นเกิดการนองเลือดได้ซึ่งอาจจะรุนแรงกว่าเมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และถ้าเป็นอย่างนั้นประเทศไทยรวมถึงเศรษฐกิจจะยํ่าแย่ลงมาก ต่างประเทศจะยอบรับเรื่องดังกล่าวไม่ได้ "หากเกิดการปฏิวัติยึดอำนาจขึ้นอีก อาจจะถึงจุดจบของประเทศทันที"
ขณะที่เรื่องของภาวะเงินเฟ้อนั้น "เซียน" การลงทุนจาก บลจ.อยุธยา มองว่า เงินเฟ้อเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยส่งผลไปถึงการลงทุนของบริษัทต่างๆ และส่งผลไปถึงเรื่องของค่าเงิน ซึ่งในขณะนี้ประเทศเวียดนามมีเงินเฟ้อพุ่งขึ้นถึง 25 เปอร์เซ็น ถือว่าสูงมากในภูมิภาคเอเชีย ทำให้นักลงทุนต่างมองกันว่า ค่าเงินของเวียดนามอาจเป็นเหมือนกับประเทศไทยเมื่อครั้งปี 2540 หรือ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ที่ผ่านมา ในส่วนของประเทศไทยเงินเฟ้ออาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกแต่คงเพิ่มขึ้นไปไม่มาก เพราะหากราคานํ้ามันและราคาสินค้าเกษตรไม่เพิ่มขึ้นไปอีก
ส่วนเรื่องค่าเงินบาทนั้น ในช่วงต้นปีได้แข็งค่าขึ้นไปอยู่ในระดับ 31 บาทส่งผลกระทบต่อเรื่องของการส่งออก และถึงแม้ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจะขาดทุนจากการลงทุนไปบ้าง แต่หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศยกเลิกมาตราการกันสำรอง 30% ลง ก็มีเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย ประมาณ 13,000 ล้านบาท แต่ในขณะนี้ สถานการณ์จะกลับกัน นักลงทุนจากต่างประเทศจะเริ่มขายพันธบัตรชนิดต่างๆที่ถืออยู่ทิ้ง เพื่อที่จะนำเงินกลับมาถือไว้เพื่อดูสถานการณ์ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลง แต่โดยรวมแล้วยังถือว่าสถานการณ์การลงทุนดังกล่าวยังเป็นบวกอยู่ ดังนั้นในประเทศไทยอาจเห็นค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปีนี้
นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน มองถึงสถานการณ์ดังกล่าวในอีกมุมหนึ่งว่า สถานการณ์ทางการเมืองดังกล่าวนี้อาจเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ หรือหากเกิดขึ้นก็สถานการณ์อาจจะไม่รุนแรงเหมือนที่คาดไว้ เหมือนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา โดยหลังจากที่ยึดอำนาจได้เสร็จ กลับมีประชาชนนำดอกไม้ไปให้แก่ทหาร เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งนักลงทุนก็ไม่ควรที่จะวิตกกังวลมากจนเกินไป แต่หากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลงได้ ก็จะส่งผลดีต่อการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ ส่วนในเรื่องของเงินเฟ้อนั้น อาจารย์ นิเวท มองว่า เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้กลับส่งผลดีต่อภาคการบริโถครวมถึงเรื่องของการลงทุนด้วย เพราะส่งผลให้คนมีเงินมากขึ้นและมีอำนาจในการใช้จ่ายมากขึ้นในการซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภค ซึ่งเป็นการทำให้ผู้ที่ประกอบการค้าขายสามารถขายสินค้าได้ดีขึ้นเป็นต้น
เขาได้ยกตัวอย่างให้เห็นถึง ร้านกาแฟที่ปรับราคากาแฟเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคานํ้าตาลที่แพงขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วราคานํ้าตาลที่ขึ้นราคากิโลกรัมละ 5 บาท เมื่อเทียบกับปริมาณที่ใส่แกแฟถือว่าน้อยมาก ดังนั้น ร้านที่ขายแกแฟจึงไม่ได้รับผลกระทบจากราคานํ้าตาลที่แพงขึ้น แต่กลับมีรายได้เพิ่มขึ้นจากกาแฟที่ปรับขึ้นราคา
"ฉะนั้นยามที่เกิดภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลให้การประกอบธุรกิจดีขึ้นตามไปด้วย"
ในงานสัมนา เซียนการลงทุนทั้ง 3 คน ยังได้พูดถึงการลงทุนพร้อมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นในช่วงนี้ด้วย โดยทั้ง 3 ท่าน ได้มีความเห็นถึงการลงทุนในลักษณะที่คล้ายๆกัน
โดยที่น่าสนใจ คือคำแนะนำของ "นิเวศน์" ที่พูดถึงการลงทุนในหุ้นว่า การที่จะมองว่าหุ้นตัวใดเป็นหุ้นคุณค่าหรือไม่นั้น ไม่สามารถที่จะบอกได้ในทันที แต่ขึ้นอยู่กับการลงทุนของนักลงทุนเองว่านักลงทุนแต่ละคนมีสไตล์การลงทุนแบบใด รับความเสี่ยงได้ในระดับใด รวมถึงเรื่องของการจับจังหวะการเข้าไปซื้อและขายหุ้นในตัวนั้นๆ ว่าเข้าไปซื้อขายช่วงในจังหวะใด เพราะหุ้นบางตัวนั้นดูเหมือนว่าเป็นหุ้นที่ดีแต่นักลงทุนเข้าไปซื้อในช่วงจังหวะที่ผิดทำให้นักลงทุนขาดทุนได้ และหุ้นบางตัวนั้นนักลงทุนอาจมองว่าดีในช่วงหนึ่งแต่ในระยะต่อๆไปหุ้นตัวนั้นอาจตกลงก็เป็นได้
ทั้งนี้ ยังบอกกับนักลงทุน ในเรื่องการถือครองและเทขายหุ้นว่า นักลงทุนไม่ควรที่จะถือครองไว้ในช่วงระยะสั้น ๆ ประมาณ 1-2 ปีแล้วเทขายเพราะหุ้นโดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อถือเกิน 1-2 ปีแล้วหุ้นตัวนั้นมักจะปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ เขายังให้คำแนะนำสำคัญ คือ นักลงทุนควรทราบถึงประวัติของบริษัทที่ตนเองซื้อหุ้นนั้นว่า บริษัทนั้นที่ผ่านมามีผลประกอบการอย่างไรน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน หากบริษัทนั้น นักลงทุนทราบว่ามีผลการประกอบการที่ดีมาตลอด ดังนั้นหุ้นของบริษัทนั้นที่นักลงทุนถืออยู่อาจเป็นหุ้นคุณค่าก็ได้ เพราะนักลงทุนมีความเชื่อถือมาตลอด
อย่างไรก็ตาม กูรู ในด้านการลงทุนทั้ง 3 ท่านก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของปัญหาทางการเมืองอยู่เป็นเรื่องหลัก เพราะเป็นที่เรื่องส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง และเป็นเรื่องที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศนั้นต้องการให้อยู่ในสถานการณ์ปกติโดยเร็วที่สุด