ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ ยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งในและภายนอกประเทศ ทำให้ดัชนปรับตัวลดลงไปกว่า 20 จุดแล้ว บางคนจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า "แล้วเราจะลงทุนอะไรดีเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี" คำถามนี้มีหลายคำตอบที่นำไปใช้ได้ แต่หากพิจารณาให้ลึกขึ้น และมองให้ไกลขึ้นเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีกว่าและต่อเนื่อง นักลงทุนควรที่จะมองถึงการบริหารสินทรัพย์หรือเม็ดเงินที่ลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวด้วย
ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในแวดวงธุรกิจการเงินท่านหนึ่ง ให้ความเห็นไว้ว่า คนที่สนใจลงทุนระยะยาว ควรจะมีการกระจายการลงทุนออกไปในหลายทาง โดยต้องศึกษาว่ามีการลงทุนอะไรบ้างที่น่าสนใจ และสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างไร ขณะเดียวกันต้องเรียนและรับทราบถึงความผันผวนจากการลงทุนว่าเป็นอย่างไร จะแตกต่างจากทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ยังไง นอกจากนี้ควรที่จะมีเงินทุนสำรอง ซึ่งจะต้องเก็บไว้ในที่ปลอดภัยก แม้เงินส่วนนี้จะได้รับผลตอบแทนน้อยก็ตาม ...แต่ก็ควรมีเอาไว้บ้าง
ย้อนกลับมาดูที่การลงทุนในหุ้น จะลงทุนให้ได้กำไรหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ 2 - 3 ปัจจัย ท่านลงทุนได้นานแค่ไหน? ถ้าลงทุนระยะสั้น 2-3 เดือน หุ้นอาจผันผวนเหมือนกัน แต่หากลงทุนในระยะยาว ความเสี่ยงในการลงทุนก็จะลดลงเรื่อยๆ เพราะเหตุการณ์ในปัจจุบัน เหตุการณ์ต่างๆ เปลี่ยนไปค่อนข้างเร็วมาก ทุกวันนี้นักลงทุนต้องดูราคาหุ้น 4-5 ครั้งต่อวัน ไม่เหมือนกับราคาทองคำ ซึ่งประกาศเพียงแค่ครั้งเดียวต่อวัน แต่ปัจจุบัน สมาคมค้าทองคำมีการประกาศปรับราคาได้ 3 ครั้งต่อวัน โดยจะดูราคาหุ้นช่วงเปิดตลาดเช้า สายและเที่ยงวันอีกครั้ง และตอนเย็นหรือบ่ายแก่อีกครั้ง นอกจากนี้ ตอนค่ำจะต้องไปดูว่าตลาดนิวยอร์กและตลาดยุโรปเป็นอย่างไร เพราะมีผลกระทบต่อเมืองไทยด้วย และที่สำคัญที่สุดคือช่วง 6-7 โมงเช้า เพราะว่าตอนนั้นตลาดอเมริกา และยุโรปปิดหมดแล้ว เพื่อไปดูว่าสรุปแล้วเป็นอย่างไร เรียกว่าสร้างความยุ่งยาก หรือสร้างความเครียดให้กับนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจะเฝ้าดูปัจจัยอีก 3- 4 ตัว คือ 1.ราคาน้ำมัน ซึ่งปรับขึ้นมาจากปีที่แล้วเกือบ 100% โดยเมื่อปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในปี 2551 ถ้าหากใช้ Benmark 100 เหรียญ ราคาก็จะวิ่งอยู่ที่ระดับ 85-115 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่พอปีนี้ผ่านมาไม่ถึง 4 เดือนราคาน้ำมันปรับขึ้นไปที่ 124 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลแล้ว
ทั้งนี้หากยังไม่ชำนาญและไม่มีเวลาในการเฝ้าหน้าจอดูวิเคราะห์ ควรคำนึงว่าการที่จะซื้อหุ้นที่ดีจะต้องมีอัพไซส์ แม้ว่าจะจ่ายเงินปันผลน้อยก็ไม่เป็นไร ขณะเดียวกันนักลงทุนยังสามารถฝากเงินผ่านกองทุนรวมของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงก็ได้ หรือจะเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งตอนนี้มีการลงทุนในกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ที่ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะผลตอบแทนจะค่อนข้างสูง แต่ควรซื้อเฉพาะกองทุนที่มีการปิดความเสี่ยงแล้ว เพราะว่ายังไม่น่าไว้ใจค่าเงินบาทเนื่องจากยังมีโอกาสอ่อนค่าลงอีก หากราคาสินค้าเกษตรยังไปได้ดี
ผู้เชี่ยวชาญ ท่านเดิมให้ทางเลือกกรลงทุนที่ดีไว้ 5 แนวทาง ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ในระดับที่น่าพอใจ และหากสามารถจัดสรรสินทรัพย์หรือเม็ดเงินลงทุน ทั้ง 5 ทางเลือกนี้ได้เชื่อว่าจะเป็นการสร้างผลการลงทุนที่ดีและช่วยสร้างผลตอบแทนในระดับที่ดีและระยะยาวให้แก่คนผู้นั้น
1. การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่าเราจะบอกว่าคนไทยไม่มีเงิน เพราะต้องเอาเงินไปจ่ายค่าน้ำมัน ค่าข้าว และค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยคนธรรมดาอาจจะเหลือเงินน้อย แต่ว่าการลงทุนในอสังหารมิทรัพย์ยังเป็นสิ่งที่ดี เพราะได้อยู่ได้ใช้ ในสินทรัพย์ที่ลงทุน และราคายังปรับขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่บางคนอาจจะมองว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ดี เพราะมีข้อด้อยหลายประการ ซึ่งเวลาจะขายทีไรจะต้องเสียภาษีทุกครั้ง แม้ว่ารัฐบาลบจะลดค่าโอน แต่ก็ลดเพียงปีเดียว และพอขึ้นปีใหม่จะใช้อัตราเดิม ดังนั้นหลายคนจึงหันไปกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แทน ซึ่งมีข้อดีมากกว่าอสังหาริมทรัพย์โดยตรง 2-3 อย่าง เช่น ถ้ามีเงิน 5,000 บาท ก็สามารถซื้อ 5,000 บาท มีเงิน 10,000 บาทก็ซื้อ 10,000 บาท เพราะปัจจุบันในเมืองไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร หากมีเงิน 5,000-10,000 บาทสามารถซื้อที่ดินได้ไม่กี่ตารางนิ้วเท่านั้น
"การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนนั้น ท่านต้องมองแบบกว้างขึ้น ตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมในสิงคโปร์ขายอยู่ที่ราคาตารางเมตรละ 1 ล้านบาท ต่างชาติไม่ค่อยซื้อ แต่คอนโดมิเนียม เมืองไทยตารางเมตละ 1 แสนบาทคนถึงซื้อ เพราะว่าต่างด้าวเวลาจะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ เขาต้องการเป้นเจ้าของ 100% แต่ถ้าซื้อบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ไม่สามารถซื้อได้ 100% เนื่องจากมันมีที่ดินรวมอยุ่ด้วย เป็นข้อจำกัด ต้องมาแต่งงานกับเมียคนไทยบ้าง ต้องมาให้คนอื่นถือให้บ้าง หรือต้องมาตั้งบริษัทบ้างซึ่งไม่ 100% แต่คอนโดมิเนียมเขาสามารถซื้อได้ 100% เพราะฉะนั้น แรงซื้อจากต่างด้าวในอสังหาริมทรัพย์ก็มีลักษณะคล้ายกับตลาดหุ้นไทยที่มีแรงซื้อจากต่างด้าวเช่นกัน"
นอกจากนี้ การซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะต้องซื้อแบบฟรีโฮลด์ เนื่องจากกองทุนประเภทนี้ให้ผลตอบแทนสูงถึงประมาณ 7% ซึ่งดีกว่าการฝากเงินกับะนาคารพาณิชย์ และสามารถซื้อเท่าไรก็ได้ หากไม่ชอบใจก็สามารถขายได้ โดยราคาอยู่ที่ระดับ 10 บาท ดังนั้นโอกาสในการขาดทุนจึงน้อยด้วย แต่การซื้อและถือในระยะยาวดีจะดีกว่า เพราะผลตอบแทนดีกว่าการฝากแบงก์ และตราสารหนี้
2.การลงทุนในหุ้นถ้านักลงทุนติดตาม และศึกษาข้อมูลมามาก ลงทุนด้วยความระมัดระวัง จะลงทุนซื้อหุ้นเองก็ได้ โดยการซื้อหุ้นเองมีข้อดีคือไม่ต้องเสียค่าการธรรมเนียมในการบริหาร ปัจจุบัน มองว่าลงทุนในหุ้นพลังงานนั่นน่าสนใจมากสุด เพราะเชื่อว่าปีนี้ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นไปที่ 150 ดอลลาร์สหรัฐ โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ว่าในปี 2555 ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 200-250 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามอย่าไปลงทุนในหุ้นหมด เพราะหากเกิดการปฏิวัติ หรือเหตุการณ์ระเบิดขึ้นมาจะแย่ ต้องไปดูตัวอื่นด้วย
3.กองทุนตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม ในชีวิตของเราจะต้องมี สวรรค์อันปลอดภัย คือ Safety of Heaven เอาไว้ คือคนเราจะบอกว่าเราแข็งแรง เราปลอดภัย เรามีเงินอยุ่แล้ว ภัยพิบัติไม่มีหรอก เรืองนี้เป็นไปไม่ได้ อย่างเช่น ภัยพิบัติจากพายุไซโคลนของพม่า ซึ่งร้ายแรงกว่าสึนามิ เพราะสึนามิจะไประรานแค่บริเวณชายหาด แต่ไซโคลนจะผ่านไปเป็นแนวใหญ่ ฉะนั้น พื้นที่ความเสียหายจะร้ายแรงกว่ามาก ดังนั้นต้องบอกว่าคนเรามีความเสี่ยงอยุ่ตลอดเวลา
สรุปก็คือ ควรที่จะมีเงินอีกจำนวนหนึ่งที่ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้ แม้ว่าจะให้ผลตอบแทนน้อยก็จำเป้นต้องยอม เพราะมิฉะนั้นแล้วถ้าหุ้นตกไปทีนึง จะไม่มีผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทอื่นเข้ามาทดแทนได้ หากไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ไว้บ้าง โดยดัชนีหุ้นไทยเคยขึ้นไป 1800 จุด และปี 2546 เคยลงไปที่ 200 จุดซึ่งลงไปกว่า 90% เพราะฉะนั้นของในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
4.ทองคำเป็นสิ่งหนึ่งที่Safety of Heaven ได้ ถ้าอยากจะลงทุนในราคาทองคำ มีแนวคิดอยุ่ 2 ข้อ 1. จับตาดูราคาน้ำมัน ถ้าราคาน้ำมันยื่นอยู่ได้ที่ระดับ 118-120 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำจะปรับลงยากมาก และจริงๆ ราคาทองคำลงมามากแล้ว โอกาสที่จะลงกว่านี้คงจะยาก ถ้าราคาทองคำลงมาที่ 13000 บาทถ้วนน่าซื้อ และการซื้อทองคำต้องบอกว่ากับใจตัวเองว่า ปีที่แล้ว เพื่อนเราซื้อได้กำไร 26% ปีนี้ซื้อได้กำไร 3-4% ซึ่งกำไร 3-4% เท่ากับการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นต้องบอกว่าคุ้มทุน เพราะว่าทองคำ ไม่ว่าจะเกิดปฏิวัติ พายุไซโคลนก็ตาม แต่ราคาทองคำยังอยู่ยงคงกระพัน
สุดท้าย5.การลงทุนในต่างประเทศ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1. ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เพราะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในประเทศและ 2. กองทุนหุ้นต่างประเทศ แต่จะต้องระวังไว้ หุ้นต่างประเทศก็มีผันผวน โดยเฉพาะกองหุ้นที่ไปลงทุนในจีน เนื่องจากผันผวนมาก ซึ่งต้องพิจารณาเป็นพิเศษ
ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในแวดวงธุรกิจการเงินท่านหนึ่ง ให้ความเห็นไว้ว่า คนที่สนใจลงทุนระยะยาว ควรจะมีการกระจายการลงทุนออกไปในหลายทาง โดยต้องศึกษาว่ามีการลงทุนอะไรบ้างที่น่าสนใจ และสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างไร ขณะเดียวกันต้องเรียนและรับทราบถึงความผันผวนจากการลงทุนว่าเป็นอย่างไร จะแตกต่างจากทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ยังไง นอกจากนี้ควรที่จะมีเงินทุนสำรอง ซึ่งจะต้องเก็บไว้ในที่ปลอดภัยก แม้เงินส่วนนี้จะได้รับผลตอบแทนน้อยก็ตาม ...แต่ก็ควรมีเอาไว้บ้าง
ย้อนกลับมาดูที่การลงทุนในหุ้น จะลงทุนให้ได้กำไรหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ 2 - 3 ปัจจัย ท่านลงทุนได้นานแค่ไหน? ถ้าลงทุนระยะสั้น 2-3 เดือน หุ้นอาจผันผวนเหมือนกัน แต่หากลงทุนในระยะยาว ความเสี่ยงในการลงทุนก็จะลดลงเรื่อยๆ เพราะเหตุการณ์ในปัจจุบัน เหตุการณ์ต่างๆ เปลี่ยนไปค่อนข้างเร็วมาก ทุกวันนี้นักลงทุนต้องดูราคาหุ้น 4-5 ครั้งต่อวัน ไม่เหมือนกับราคาทองคำ ซึ่งประกาศเพียงแค่ครั้งเดียวต่อวัน แต่ปัจจุบัน สมาคมค้าทองคำมีการประกาศปรับราคาได้ 3 ครั้งต่อวัน โดยจะดูราคาหุ้นช่วงเปิดตลาดเช้า สายและเที่ยงวันอีกครั้ง และตอนเย็นหรือบ่ายแก่อีกครั้ง นอกจากนี้ ตอนค่ำจะต้องไปดูว่าตลาดนิวยอร์กและตลาดยุโรปเป็นอย่างไร เพราะมีผลกระทบต่อเมืองไทยด้วย และที่สำคัญที่สุดคือช่วง 6-7 โมงเช้า เพราะว่าตอนนั้นตลาดอเมริกา และยุโรปปิดหมดแล้ว เพื่อไปดูว่าสรุปแล้วเป็นอย่างไร เรียกว่าสร้างความยุ่งยาก หรือสร้างความเครียดให้กับนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจะเฝ้าดูปัจจัยอีก 3- 4 ตัว คือ 1.ราคาน้ำมัน ซึ่งปรับขึ้นมาจากปีที่แล้วเกือบ 100% โดยเมื่อปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในปี 2551 ถ้าหากใช้ Benmark 100 เหรียญ ราคาก็จะวิ่งอยู่ที่ระดับ 85-115 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่พอปีนี้ผ่านมาไม่ถึง 4 เดือนราคาน้ำมันปรับขึ้นไปที่ 124 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลแล้ว
ทั้งนี้หากยังไม่ชำนาญและไม่มีเวลาในการเฝ้าหน้าจอดูวิเคราะห์ ควรคำนึงว่าการที่จะซื้อหุ้นที่ดีจะต้องมีอัพไซส์ แม้ว่าจะจ่ายเงินปันผลน้อยก็ไม่เป็นไร ขณะเดียวกันนักลงทุนยังสามารถฝากเงินผ่านกองทุนรวมของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงก็ได้ หรือจะเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งตอนนี้มีการลงทุนในกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ที่ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะผลตอบแทนจะค่อนข้างสูง แต่ควรซื้อเฉพาะกองทุนที่มีการปิดความเสี่ยงแล้ว เพราะว่ายังไม่น่าไว้ใจค่าเงินบาทเนื่องจากยังมีโอกาสอ่อนค่าลงอีก หากราคาสินค้าเกษตรยังไปได้ดี
ผู้เชี่ยวชาญ ท่านเดิมให้ทางเลือกกรลงทุนที่ดีไว้ 5 แนวทาง ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ในระดับที่น่าพอใจ และหากสามารถจัดสรรสินทรัพย์หรือเม็ดเงินลงทุน ทั้ง 5 ทางเลือกนี้ได้เชื่อว่าจะเป็นการสร้างผลการลงทุนที่ดีและช่วยสร้างผลตอบแทนในระดับที่ดีและระยะยาวให้แก่คนผู้นั้น
1. การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่าเราจะบอกว่าคนไทยไม่มีเงิน เพราะต้องเอาเงินไปจ่ายค่าน้ำมัน ค่าข้าว และค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยคนธรรมดาอาจจะเหลือเงินน้อย แต่ว่าการลงทุนในอสังหารมิทรัพย์ยังเป็นสิ่งที่ดี เพราะได้อยู่ได้ใช้ ในสินทรัพย์ที่ลงทุน และราคายังปรับขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่บางคนอาจจะมองว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ดี เพราะมีข้อด้อยหลายประการ ซึ่งเวลาจะขายทีไรจะต้องเสียภาษีทุกครั้ง แม้ว่ารัฐบาลบจะลดค่าโอน แต่ก็ลดเพียงปีเดียว และพอขึ้นปีใหม่จะใช้อัตราเดิม ดังนั้นหลายคนจึงหันไปกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แทน ซึ่งมีข้อดีมากกว่าอสังหาริมทรัพย์โดยตรง 2-3 อย่าง เช่น ถ้ามีเงิน 5,000 บาท ก็สามารถซื้อ 5,000 บาท มีเงิน 10,000 บาทก็ซื้อ 10,000 บาท เพราะปัจจุบันในเมืองไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร หากมีเงิน 5,000-10,000 บาทสามารถซื้อที่ดินได้ไม่กี่ตารางนิ้วเท่านั้น
"การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนนั้น ท่านต้องมองแบบกว้างขึ้น ตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมในสิงคโปร์ขายอยู่ที่ราคาตารางเมตรละ 1 ล้านบาท ต่างชาติไม่ค่อยซื้อ แต่คอนโดมิเนียม เมืองไทยตารางเมตละ 1 แสนบาทคนถึงซื้อ เพราะว่าต่างด้าวเวลาจะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ เขาต้องการเป้นเจ้าของ 100% แต่ถ้าซื้อบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ไม่สามารถซื้อได้ 100% เนื่องจากมันมีที่ดินรวมอยุ่ด้วย เป็นข้อจำกัด ต้องมาแต่งงานกับเมียคนไทยบ้าง ต้องมาให้คนอื่นถือให้บ้าง หรือต้องมาตั้งบริษัทบ้างซึ่งไม่ 100% แต่คอนโดมิเนียมเขาสามารถซื้อได้ 100% เพราะฉะนั้น แรงซื้อจากต่างด้าวในอสังหาริมทรัพย์ก็มีลักษณะคล้ายกับตลาดหุ้นไทยที่มีแรงซื้อจากต่างด้าวเช่นกัน"
นอกจากนี้ การซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะต้องซื้อแบบฟรีโฮลด์ เนื่องจากกองทุนประเภทนี้ให้ผลตอบแทนสูงถึงประมาณ 7% ซึ่งดีกว่าการฝากเงินกับะนาคารพาณิชย์ และสามารถซื้อเท่าไรก็ได้ หากไม่ชอบใจก็สามารถขายได้ โดยราคาอยู่ที่ระดับ 10 บาท ดังนั้นโอกาสในการขาดทุนจึงน้อยด้วย แต่การซื้อและถือในระยะยาวดีจะดีกว่า เพราะผลตอบแทนดีกว่าการฝากแบงก์ และตราสารหนี้
2.การลงทุนในหุ้นถ้านักลงทุนติดตาม และศึกษาข้อมูลมามาก ลงทุนด้วยความระมัดระวัง จะลงทุนซื้อหุ้นเองก็ได้ โดยการซื้อหุ้นเองมีข้อดีคือไม่ต้องเสียค่าการธรรมเนียมในการบริหาร ปัจจุบัน มองว่าลงทุนในหุ้นพลังงานนั่นน่าสนใจมากสุด เพราะเชื่อว่าปีนี้ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นไปที่ 150 ดอลลาร์สหรัฐ โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ว่าในปี 2555 ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 200-250 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามอย่าไปลงทุนในหุ้นหมด เพราะหากเกิดการปฏิวัติ หรือเหตุการณ์ระเบิดขึ้นมาจะแย่ ต้องไปดูตัวอื่นด้วย
3.กองทุนตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม ในชีวิตของเราจะต้องมี สวรรค์อันปลอดภัย คือ Safety of Heaven เอาไว้ คือคนเราจะบอกว่าเราแข็งแรง เราปลอดภัย เรามีเงินอยุ่แล้ว ภัยพิบัติไม่มีหรอก เรืองนี้เป็นไปไม่ได้ อย่างเช่น ภัยพิบัติจากพายุไซโคลนของพม่า ซึ่งร้ายแรงกว่าสึนามิ เพราะสึนามิจะไประรานแค่บริเวณชายหาด แต่ไซโคลนจะผ่านไปเป็นแนวใหญ่ ฉะนั้น พื้นที่ความเสียหายจะร้ายแรงกว่ามาก ดังนั้นต้องบอกว่าคนเรามีความเสี่ยงอยุ่ตลอดเวลา
สรุปก็คือ ควรที่จะมีเงินอีกจำนวนหนึ่งที่ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้ แม้ว่าจะให้ผลตอบแทนน้อยก็จำเป้นต้องยอม เพราะมิฉะนั้นแล้วถ้าหุ้นตกไปทีนึง จะไม่มีผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทอื่นเข้ามาทดแทนได้ หากไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ไว้บ้าง โดยดัชนีหุ้นไทยเคยขึ้นไป 1800 จุด และปี 2546 เคยลงไปที่ 200 จุดซึ่งลงไปกว่า 90% เพราะฉะนั้นของในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
4.ทองคำเป็นสิ่งหนึ่งที่Safety of Heaven ได้ ถ้าอยากจะลงทุนในราคาทองคำ มีแนวคิดอยุ่ 2 ข้อ 1. จับตาดูราคาน้ำมัน ถ้าราคาน้ำมันยื่นอยู่ได้ที่ระดับ 118-120 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำจะปรับลงยากมาก และจริงๆ ราคาทองคำลงมามากแล้ว โอกาสที่จะลงกว่านี้คงจะยาก ถ้าราคาทองคำลงมาที่ 13000 บาทถ้วนน่าซื้อ และการซื้อทองคำต้องบอกว่ากับใจตัวเองว่า ปีที่แล้ว เพื่อนเราซื้อได้กำไร 26% ปีนี้ซื้อได้กำไร 3-4% ซึ่งกำไร 3-4% เท่ากับการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นต้องบอกว่าคุ้มทุน เพราะว่าทองคำ ไม่ว่าจะเกิดปฏิวัติ พายุไซโคลนก็ตาม แต่ราคาทองคำยังอยู่ยงคงกระพัน
สุดท้าย5.การลงทุนในต่างประเทศ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1. ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เพราะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในประเทศและ 2. กองทุนหุ้นต่างประเทศ แต่จะต้องระวังไว้ หุ้นต่างประเทศก็มีผันผวน โดยเฉพาะกองหุ้นที่ไปลงทุนในจีน เนื่องจากผันผวนมาก ซึ่งต้องพิจารณาเป็นพิเศษ