xs
xsm
sm
md
lg

มารู้จักรีสอร์ตหรูกันเถอะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์ Money diy
ดารบุษป์ darabusp@yahoo.com

ช่วงวันหยุดแรงงานที่ผ่านมา คน (ถูก) ใช้แรงงานอย่างผม ได้มีโอกาสไปพักผ่อน โดยลากิจบ่ายวันพุธ แอบลาป่วยวันศุกร์ตามฟอร์มลูกจ้างที่ดี เพื่อความต่อเนื่องของวันพักผ่อน (แฮ่…) ซึ่งก็ไปไหนไม่ได้ไกลหรอกครับ แคะกระปุกเอาเงินเก็บไปนอนโรงแรมหรูริมหาดหัวหิน สงบ สดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ เพิ่งเข้าใจการใช้ชีวิตอย่าง ร่มเย็น เป็นราชาก็วันนี้นี่เอง (ก่อนจะกลับมาเป็นยาจกที่ออฟฟิศเช้าวันจันทร์เหมียนเดิม แค่นึกถึงก็…เฮ้อ……)ระหว่างที่นอนอ่านหนังสือพิมพ์ผ่อนอารมณ์อยู่นั้นก็พอดีเหลือบไปเห็นข่าวการเปิดตัวกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทรีสอร์ต หรูแห่งแรกของเมืองไทย ก็เลยรู้สึกเข้าธีมครับ แอบฝันว่าจะเก็บเงิน (ถึงชาติหน้า) เผื่อจะได้ไปลองพักดูบ้าง

คำว่าโรงแรม หรือ รีสอร์ตหรู ที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Luxury Hotel and Resort นั้น ไม่ได้หมายถึงโรงแรมเกรดทั่วๆไปแบบที่คนมีเงินเดือนหลักพัน หลักหมื่นจะไปนอนได้นะครับ เพราะราคาค่าที่พักต่อคืนนี่อย่างต่ำๆก็ฟาดเข้าไปสองหมื่นขึ้น ส่วนขั้นสูงนี่ราคาขึ้นไปได้ถึงคืนละเป็นแสนถึงเป็นล้านก็มี คือ เรียกได้ว่ามีเงินแค่หลักล้านนี่ก็ยังไม่มีปัญญาจะไปเหยียบหน้าโรงแรมเค้าครับ เพราะถ้าแพงขนาดนั้น ก็มักจะต้องขึ้นเรือยอช์ท หรือเฮลิคอปเตอร์ถึงจะไปได้ ไอ้ประเภทจะแบกเป้ นั่งรถแดงไปทำตีหน้ามึนขอเข้าห้องน้ำไม่น่าจะสัมฤทธิ์ผล

หลายท่านอาจสงสัยครับว่า……เฮ้ยแพงขนาดนั้น มันมีสวรรค์วิมานอะไร (ฟะ) ก็ขอตอบว่ามันเป็นสวรรค์บนดินก็แล้วกันครับ ซึ่งสามารถไปถึงได้โดยใช้ตังค์เท่านั้น (จริงๆ) โดยมักจะตั้งอยู่ในสถานที่ที่ยากแก่การไปถึงโดยชาวบ้านทั่วไป เช่น เทือกเขาแอลป์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ สำหรับอภิมหาเศรษฐีพาครอบครัวไปเล่นสกีเป็นการส่วนตัว รีสอร์ตส่วนตัวในหมู่เกาะทะเลใต้ (แบบที่ดาราฮอลลีวูดส์ชอบไปเดินแก้ผ้าว่ายน้ำกัน แล้วมีปาปารัซซี่เช่าเรือตามไปแอบถ่ายน่ะครับ)นอกจากจะสุดยอดด้านสถานที่แล้ว ยังเพียบพร้อมด้วยบริการโดยพนักงานที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี คอยโอบอุ้มดูแลท่านประหนึ่งมหาราชา รานี คือชี้นกเป็นไม้ ชี้ควายเป็นปลา ก็ไม่มีใครขัดคอท่าน

ยัง….ยังไม่พอ รีสอร์ตพวกนี้มักจะต้องมีกิจกรรมเสริมให้ทำ เช่น สนามกอล์ฟ ก็ต้องออกแบบโดยแชมป์เมเจอร์เท่านั้น ส่วนพวกรีสอร์ตตามเกาะแก่ง ก็จะต้องมีทัศนียภาพสวยงาม (สุดขีด) ไม่ใช่แค่มองออกไปเห็นทะเลก็พอ ทรายนั้นก็ต้องขาวใสอย่างกับคอฟฟี่เมท น้ำทะเลใสปิ๊งเห็นพื้นทราย ขนาดเดินลุยน้ำแค่เข่าก็เห็นปลาการ์ตูนแหวกว่ายไปมาอยู่โดยรอบได้ ซึ่งทัศนียภาพเช่นนี้ก็จะเอื้อให้มีกิจกรรมการดำน้ำทั้งแบบสน็อกเกิ้ล หรือดำเอาจริงเอาจังแบบต่อท่อออกซิเจนก็ได้ นอกจากนี้ ที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด คือ สปาหรูสุดๆ ที่มีบริการทั้งขัด นวด อาบน้ำแร่ แช่น้ำนม ด้วยผลิตภัณฑ์ที่แพงมากถึงมากที่สุดอีกด้วย

อ้อ…..เกือบลืมสาธยายเรื่องห้องพักไปครับ ไอ้ประเภทเป็นตึกๆอยู่กันร้อยสองร้อยห้องนี่ลืมไปได้เลย เพราะเค้าจะสร้างบ้านเป็นหลังๆที่เรียกกันว่า “วิลล่า” อยู่ตามหน้าผา ทุกห้องมองออกไปเห็นทะเลในระยะประชิด ยิ่งถ้าเป็นเกาะมัลดีฟส์นี่ลงไปปักสร้างกันในทะเลเลย ลงกระไดบ้านมาก็จุ่มน้ำได้ทันที ส่วนห้องน้ำนั้นหลายที่แทนที่จะทำเป็นกระเบื้อง ก็เปลี่ยนเป็นใช้หินบ้างไม้บ้างเพื่อให้ได้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีสระว่ายน้ำส่วนตัว บ้านใครบ้านมัน ไม่ต้องมาสุงสิงกับคนอื่น คือ แก้ผ้าว่ายน้ำได้ไม่มีใครเห็น (อีกแล้วครับท่าน)ขอออกตัวก่อนว่าที่เล่าๆมานี่ก็ฟังเขามา กับดูรูปทั้งนั้นครับ ของจริงก็บ่ได้มีปัญญาไปเบิ่งเหมียนกัล!

ร่ายมายาวเหยียด ยังไม่เข้าเรื่องเสียที เอาเป็นว่าเจ้าโรงแรมหรือรีสอร์ตไฮโซประเภทนี้จะมีกลุ่มลูกค้าชัดเจนครับ คือ ต้องอภิมหารวยเท่านั้น รวยธรรมดามาไม่ได้เด็ดขาด และเนื่องด้วยเป็นการรวยแบบซุปเปอร์เฮฟวี่เวท แถมต้องมีรสนิยมวิไลพ่วงมาด้วย ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่คนที่จะเข้าคำจำกัดความนี้ได้ มักจะเป็นมหาเศรษฐีต่างแดนซะเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็น ดาราฮอลลีวู้ด เจ้าของบ่อน้ำมัน ผู้บริหารบริษัทข้ามชาติ นักฟุตบอลที่มีเมียเป็นดารา นางแบบระดับโลก เป็นต้น ซึ่งคนกลุ่มนี้แม้จะมีไม่มากนัก แต่ก็มีอยู่ทั่วโลก แถมมีข้อดีว่ามักจะรวยทนรวยนาน มีกำลังถลุงเงินสูง และมักจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยกว่าคนรวยปกติทั่วๆไป (ย้ำว่าคนรวยปกตินะครับ ไม่ใช่คนปกติทั่วไป ซึ่งชักแหงกๆตายไปตั้งแต่แรกแล้ว)

การที่มีลูกค้ากระจายอยู่ทั่วโลก แถมมีกำลังซื้อที่ดี ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงในด้านของรายได้ไปในระดับหนึ่งครับ เพราะเมื่อไหร่เศรษฐีมะกันหมดอารมณ์มาเที่ยว ก็ยังมีอภิมหาเศรษฐีจีน ฮ่องกง ซาอุมาเที่ยวแทนได้ แต่ข้อพึงระลึกถึงอย่างหนึ่งสำหรับโรงแรม หรือรีสอร์ตก็คือรายได้จะมาจากค่าห้องพัก และบริการห้องอาหาร เครื่องดื่ม สปา ฯลฯ ซึ่งอัตราราคาเปลี่ยนแปลงไปได้ แถมลูกค้ามักจะหลบร้อนมาพักใจอยู่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้มีลักษณะการทำสัญญาระยะยาวกับผู้เช่าแบบศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน นิคมอุตสาหกรรม หรือที่พักอาศัยประเภทอื่นๆ ซึ่งก็จะทำให้มีข้อด้อยในแง่ของความเสี่ยงด้านรายได้ หากเกิดเหตุอะไรที่คาดไม่ถึงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ภัยธรรมชาติ แต่ในแง่บวกที่สำคัญก็คือผู้ประกอบการสามารถปรับราคาค่าห้องพักและบริการเพิ่มขึ้นได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องรอให้ครบสัญญาเช่าระยะยาวเหมือนอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น

สำหรับในธุรกิจโรงแรมแล้วมีภาษาอังกฤษคำหนึ่งซึ่งจะถูกพูดถึงบ่อยครั้ง คือ RevPAR หรือ “รายได้ต่อห้องพักที่มีให้บริการ” ซึ่งจะเป็นตัวชี้ให้เห็นว่าโรงแรมมีศักยภาพในการทำกำไรมากน้อยแค่ไหน เพราะจะดูแค่ค่าห้องอย่างเดียวไม่พอครับ เกิดค่าห้องสูงลิ่ว แต่ไม่มีใครมาพักเลยก็ไม่เข้าท่า ดังนั้นจึงต้องมาดูว่ารายได้ของโรงแรมต่อห้องพักที่มีให้บริการนั้นมากน้อยแค่ไหนเทียบกับคู่แข่งที่มีราคาในระดับเดียวกัน รวมถึงเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนๆด้วย หากว่าโรงแรมใดมีรายได้ต่อห้องพักที่ให้บริการสูงกว่าคู่แข่ง และสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ดีของตัวโรงแรม และทีมผู้บริหารโรงแรมครับ

โหย..........กว่าจะแลนดิ้งลงเนื้อหาสาระได้ ฝอยไปตั้งเยอะ ยังไงก่อนลงทุนไม่ว่าที่ไหนอย่าลืมเน้นกระจายความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนการลงทุนนะครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น